
17 กุมภาพันธ์ 2568 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนข้าราชการตำรวจ กรณี พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กับพวกรวม 5 คน กระทำผิดวินัยร้ายแรง กรณีพัวพันกับเงินจากเว็บพนันออนไลน์ กล่าวภายหลังจากเข้ามารับหน้าที่ต่อจาก พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช อดีตรอง ผบ.ตร. ว่า ได้มีการเรียกประชุมคณะกรรมการหลายครั้งแล้ว ซึ่งเป็นการทำงานต่อเนื่องกับคณะกรรมการชุดที่แล้ว
โดยจะครบกำหนด 270 วัน ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์นี้ ตามกรอบเวลา ซึ่งหากไม่ได้ข้อสรุป ก็อาจจะเสนอ ผบ.ตร.เพื่อขยายกรอบระยะเวลาอีก 30 หรือ 60 วัน แต่จะมีการประชุมนอกรอบเพื่อพิจารณาพยานหลักฐานว่า ที่รวบรวมมาเพียงพอ จะสรุปผลหรือไม่
พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า สำหรับผลการพิจารณาจะออกได้ 3 แนวทางคือ ไม่ผิดวินัย การทำงานก็จะจบ สามารถกลับเข้ารับราชการได้ หากผิดวินัยร้ายแรงหรือไม่ร้ายแรง หากเป็นวินัยไม่ร้ายแรงจะถูกลงโทษอาทิ กักยาม หรือ ภาคทัณฑ์ และยังสามารถกลับเข้ารับราชการได้ แต่หากผิดวินัยร้ายแรง จะมีโทษคือปลดออกหรือไล่ออก
ทั้งนี้มีรายงานว่า ประเภทความผิดวินัยร้ายแรง ประกอบด้วย ประพฤติชั่ว คือ ทำให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์การเป็นข้าราชการตำรวจ และ ประพฤติชั่วร้ายแรง คือ ทำให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์การเป็นข้าราชการตำรวจและต่อหน่วยงานราชการ เช่น สมคบโจร
ซึ่งหากศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำผิดอาญา ต้องโทษตั้งแต่จำคุกขึ้นไป จะถือว่ามีความผิด "ปรากฏชัดแจ้ง" จะทำให้ผู้นั้นถูกลงโทษวินัยทันทีตามกฎ ก.ตร. โดยไม่ต้องตั้งกรรมการวินัยสอบ
มีรายงานอีกว่า หากคณะกรรมการสรุปว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล มีความผิดวินัยร้ายแรงก็จะเสนอ ผบ.ตร.ให้มีคำสั่งตั้ง คณะกรรมการกลั่นกรองโทษ ซึ่งประกอบด้วย รอง ผบ.ตร.ทั้งหมดพิจารณาโทษว่า จะไล่ออกหรือปลดออก โดยมีกรอบระยะเวลา
ส่วน พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ สามารถอุทธรณ์คำสั่ง ต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ซึ่งหากยืนตามคณะกรรมการวินัย พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ก็สามารถใช้สิทธิ์ฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดต่อไป ซึ่งหากศาลปกครองสูงสุดยืนตาม ก.พ.ค.ตร. ก็จะทำให้คดีวินัยถึงที่สุดก็จะเข้าสู่ขั้นตอนของการ พิจารณาถอดยศตำรวจ