
18 กรกฎาคม 2567 เป็นคดีที่สังคมให้ความสนใจเป็นอย่างมาก กรณี 6 ชาวเวียดนาม ถูกวางยาเสียชีวิต ภายในโรงแรมหรูย่านราชประสงค์ ซึ่งจากการสอบสวนของตำรวจคาดว่า เกิดจากปมปัญหาเรื่องหนี้สินนับสิบล้านบาท ที่คนลงมือก่อเหตุสันนิษฐานว่า คือ 1 ใน 6 ผู้เสียชีวิต และใช้ "ไซยาไนด์" ในการก่อเหตุ
คดีนี้แหล่งข่าวระดับสูงจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการคลี่คลายคดีว่า ประเด็นที่ชุดทำคดียังคาใจสงสัย และหาคำตอบสุดท้ายไม่ได้คือ เหตุใดผู้ที่วางยาพิษปลิดชีพคนอื่น จึงต้องปลิดชีพตัวเองไปพร้อมกันด้วย โดยมีข้อมูลที่ต้องติดตามเพิ่มเติม และบางส่วนก็ได้หลักฐานบางอย่างกลับมาบ้างแล้ว สรุปได้ดังนี้
1.ตำรวจไทยประสานทางการเวียดนาม เพื่อขอประวัติผู้เสียขีวิตทั้งหมด และขอให้สอบปากคำบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้ตาย ทั้งสอบปากคำทางตรง และตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์ว่า โทรหาใครบ้าง เรื่องอะไร เพื่อหาเบาะแสที่เกี่ยวกับคดี และมูลเหตุการถูกลวงไปสังหาร
ข้อนี้ทางการเวียดนามทยอยส่งข้อมูลกลับมาบ้างแล้ว โดยส่วนที่มีความชัดเจนมากๆ คือ ผู้เสียชีวิตทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวข้อง หรือมีกิจกรรมทางการเมือง ไม่ใช่บุคคลเป้าหมายของรัฐบาลเวียดนาม และไม่มี Red Notice หรือ “หมายแดง” ของตำรวจสากล ไม่มีคดีหรือหมายจับข้ามชาติ
2.ผู้เสียชีวิตทั้ง 6 คนเดินทางเข้าประเทศไทยไม่พร้อมกัน และตรวจสอบพบว่า บางคนได้ไปเข้าพักโรงแรมหรูแห่งอื่นก่อน โดยเท่าที่มีข้อมูลแล้ว มี 3 แห่งด้วยกัน เป็นโรงแรมระดับ 4-5 ดาวย่านอโศกและเจริญกรุง
ขณะที่ทางชุดสืบสวนได้กระจายกันไปเก็บหลักฐาน โดยเฉพาะกล้องวงจรปิด เพื่อแกะรอยต่อว่า คนกลุ่มนี้ไปพบหรือพูดคุยกับใครบ้าง ก่อนจะไปเสียชีวิตรวมกันที่โรงแรมหรูจุดเกิดเหตุ
3.ผู้เสียชีวิตทั้งหมดรู้จักกันมาก่อน และนัดหมายมาเจอกันที่ประเทศไทย โดยสถานที่สุดท้ายคือโรงแรมที่เกิดเหตุ และก่อนจะมีการฆาตกรรมหมู่ช่วงบ่ายวันที่ 15 กรกฎาคม ได้มีบางคนไปไหว้พระทำบุญที่วัดยานนาวาด้วย
เป็นที่น่าสังเกตว่า บรรยากาศตลอดจนพฤติกรรมและกิจกรรมที่ทำ ไม่ส่อให้เห็นว่าจะมีการเสียชีวิตหมู่เกิดขึ้น ฉะนั้นทุกคนจึงไม่ได้เดินทางเข้าประเทศไทย เพื่อมาตาย หรือมาฆ่าตัวตาย และไม่มีใครรู้ว่าถูกสังหาร ยกเว้นผู้ที่วางยาพิษ
4.ผลการตรวจสถานที่เกิดเหตุ และจุดที่พบศพผู้เสียชีวิต เชื่อว่า หญิงเวียดนามสัญชาติอเมริกันที่ชื่อ “เชอรีน” เสื้อสีเขียว ซึ่งเป็นเจ้าของห้องที่เกิดเหตุ มีโอกาสมากที่สุดที่จะเป็นผู้วางยาพิษบุคคลอื่น
โดยจุดที่พบศพ “เชอรีน” คือนอนเสียชีวิตใกล้โต๊ะอาหาร ตรงที่นั่งที่มีการแกะเปิดพลาสติกที่แร็ปอาหาร ทั้งข้าวและกับข้าวเอาไว้ ทั้งยังมีร่องรอยรับประทานอาหารไปเล็กน้อยด้วย ซึ่งจุดนี้มีแก้วกาแฟ 1 แก้ว และแยกจากแก้วชาอีกหลายใบ ที่ไปรวมอยู่อีกจุดหนึ่ง แต่ทุกแก้ว และในกาน้ำชาตรวจพบสารไซยาไนด์
เบื้องต้นสันนิษฐานว่า “เชอรีน” อาจวางยาตัวเองเป็นคนสุดท้าย โดยรับประทานอาหารเล็กน้อยก่อนด้วย เพื่อรอเวลาตาย และรอดูว่าคนอื่น ๆ ทุกคนเสียชีวิตทั้งหมดแล้ว ตัวเองจึงยอมตาย
ข้อสันนิษฐานนี้ สอดคล้องกับศพของชายที่เสียชีวิต ในท่านอนใกล้กับศพผู้หญิง มีเบาะรองที่ศีรษะ เหมือนมีการจัดท่าการเสียชีวิต จึงมีความเป็นไปได้ว่า ผู้ที่วางยาอาจสิ้นใจเป็นคนสุดท้าย หรือกินยาพิษตามหลัง เมื่อเห็นคนที่เหลือเสียชีวิตหมดแล้ว
5.การนัดหมายทุกคนให้มารวมตัวกันที่ห้อง 502 ซึ่งเป็นห้องของ “เชอรีน” ทำให้มีน้ำหนักมากขึ้นว่า “เชอรีน” เป็นผู้วางแผนทั้งหมด และเป็นคนเดียวใน 6 คนนี้ที่รู้แผนการทั้งหมด ทั้งยังเป็นผู้สั่งชา กาแฟ ให้มาส่ง และแจ้งบริกรว่า ขอชงเอง ซึ่งคาดว่าน่าจะเพื่อการเตรียมการใส่สารไซยาไนด์
ข้อมูลในส่วนนี้ ทีมคลี่คลายคดีสันนิษฐานว่า ”เชอรีน“ ซึ่งมีประวัติชักชวนคนไปลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ โดยอ้างผลตอบแทนสูง ลักษณะคล้ายๆ แชร์ลูกโซ่ เพราะไม่ได้มีการลงทุนจริง แต่อาจเป็นการหลอกเอาเงิน หรือเตรียมการฉ้อโกงนั้น เธอน่าจะติดหนี้ผู้เสียชีวิตอีก 5 คน หรือชักชวนไปลงทุนแล้วมีปัญหา จึงนัดทั้งหมดมาคุยเพื่อเคลียร์กัน
โดย “เชอรีน” น่าจะลวงอีก 5 คนมา อ้างว่าจะคืนเงินให้ หรือมีข้อเสนอที่ดีบางประการ ทำให้ทั้งหมดไปรวมตัวอยู่ในห้องเดียวกัน
นอกจากนั้นยังน่าจะมีประเด็นการสร้างความมั่นใจบางประการ เพราะระหว่างเวลาที่ทั้ง 6 คนรวมตัวกันอยู่ในห้องมรณะ มี 1 ใน 6 คนโอนเงินกลับไปให้คนในครอบครัวที่เวียดนาม ยังไม่ชัดว่าเป็นลูกหรือไม่ ซึ่งลักษณะการโอนเงิน แม้จะเป็นเงินไม่มาก แต่อาจจะเป็นการโอนเพื่อยืนยันเลขบัญชี หรือยืนยันว่ามีธุรกรรมกันจริง
เมื่อพูดคุยเจรจากันลงตัว จึงน่าจะมีการฉลองความสำเร็จ ในลักษณะของการดื่มชาร่วมกัน ตามวัฒนธรรมของคนเวียดนาม ซึ่งชาที่เตรียมไว้นั้นมีสารไซยาไนด์ผสมอยู่แล้ว ทำให้ทั้งหมดเสียชีวิต
7.ตัวเลขความเสียหายที่คิดเป็นเงินไทยราวๆ 10 ล้านบาท เป็นของผู้เสียหายเพียงรายเดียว ไม่ได้หมายความว่าเม็ดเงินเพียง 10 ล้านบาทจะนำมาสู่การลงมือฆ่าหมู่ถึง 6 ศพ แต่ความเสียหายของผู้เสียชีวิตคนอื่นๆ ยังไม่มีข้อมูลรายงานเข้ามาจากทางเวียดนาม ซึ่งคาดว่าตัวเลขความเสียหายจะสูงกว่า 10 ล้านบาทมาก
8.ประเด็นที่ยังหาคำตอบไม่ได้เลย ก็คือ คนที่วางยาบุคคลที่เหลือทุกคน ซึ่งคาดว่าจะเป็น “เชอรีน” มีความจำเป็นอะไร ที่ต้องฆ่าทุกคนรวมทั้งตัวเองด้วย
แหล่งข่าวจากชุดคลี่คลายคดีเผยว่า มีความเป็นไปได้ที่การทำธุรกิจของ ”เชอรีน“ มีบุคคลอื่นอยู่เบื้องหลัง และอาจเป็นผู้มีอิทธิพล หรือนายทุนใหญ่ที่มีอิทธิพล โดยเป็นผู้สั่งการให้ ”เชอรีน“ เคลียร์ปัญหาผู้ที่ถูกชักชวนมาลงทุนกลุ่มนี้ทุกคน ด้วยวิธีนัดมาเจอกันแล้วสั่งตาย และตัวของ ”เชอรีน“ ต้องตายด้วย หรือ ”เชอรีน“ อาจตัดสินใจปลิดชีพตัวเองเพื่อหนีความผิด หรือหนีแรงกดดันต่างๆ
ประเด็นนี้ยังเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ซึ่งต้องหาข้อมูลหลักฐานอื่นมายืนยันเพิ่มเติม เช่น การใช้โทรศัพท์หรือการติดต่อสื่อสารกับบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องประสานกับทางการเวียดนามต่อไป