พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัฒน์ หรือ “ทนายพัช” ทนายของ นางสรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ หรือ "แอม" ผู้ต้องหาคดีวางยาฆ่าชิงทรัพย์ เตรียมที่จะฟ้องตำรวจในความผิดม.157 จำนวน 3 ราย ว่า ตอนนี้ยังไม่ทราบเรื่อง แต่สิทธิ์ในการฟ้องมีทุกคน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง:
รวมถึงตัวทนายความเห็นด้วย แต่ตำรวจทำงานตามพยานหลักฐาน ไม่ได้ทำงานตามกระแสของสังคม เมื่อพยานหลักฐานเพียงพอก็ขออนุมัติหมายจับ ซึ่งศาลท่านก็พิจารณาตามเหตุผล และพยานหลักฐาน ซึ่งการที่ศาลให้ออกหมายเรียกผู้ต้องหา ไม่ใช่การไม่เห็นด้วยกับพยานหลักฐาน แต่เป็นเรื่องของการแจ้งความผิดเดียวกับ รองอ๊อฟ(พ.ต.ท.วิฑูรย์รังสิวุฒาภรณ์) ที่ไม่ได้ถูกออกหมายจับ ศาลจึงพิจารณาให้ออกเป็นหมายเรียก
ส่วนที่ "ทนายพัช" เมื่อวานนี้ มีการติดต่อขอมอบตัวที่กองปราบปราม ตอนเวลา 19.00 น. แต่ก็ไม่มาตามที่แจ้งเอาไว้ ซึ่งการติดต่อขอมอบตัวเป็นเรื่องที่เจ้าตัวติดต่อเอง เมื่อเจ้าตัวไม่มา ตำรวจก็จะออกหมายเรียกดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย
ขณะที่ตัว "ทนายพัช" จะฟ้อง ตำรวจ ม.157 จะกระทบต่อคดีที่จะแจ้งข้อหา หรือไม่นั้น รอง ผบ.ตร. ระบุว่า ไม่กระทบ ตำรวจดำเนินการตามกฎหมาย และมีหน้าที่รักษาความเป็นธรรม สืบสวนสอบสวนจับกุมผู้ร้าย ซึ่งการทำหน้าที่ดังกล่าว ก็สุ่มเสี่ยงต่อการถูกฟ้องดำเนินคดีอยู่แล้ว
ตำรวจแค่ต้องตอบให้ได้ และพิสูจน์ว่า ดำเนินการตามพยานหลักฐาน ซึ่งหากปฏิบัติตามกฎหมาย กฎหมายก็จะเป็นกรอบคุ้มครองตัวเราเอง ยืนยันว่า การที่ทนายพัชฟ้องตำรวจในลักษณะเชิงแก้เกี้ยว จะไม่ทำให้ตำรวจเกิดอคติในการทำคดี
ทั้งนี้เมื่อตัว "ทนายพัช" มามอบตัวกับพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก การจะให้ หรือ ไม่ให้ประกันตัว ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของพนักงานสอบสวน และมีหลักเกณฑ์อยู่แล้วตามกรอบของกฏหมาย ซึ่งตามกฎหมายพนักงานสอบสวน สามารถขอหมายขังได้ ตามป.วิอาญา 134 หรือ ไม่ขอหมายขังก็ได้
ส่วนการเข้าพูดคุยกับกรมโรงงานในวันพรุ่งนี้ (24 พ.ค.) จะเข้าไปพูดคุยในเรื่องของข้อกฎหมาย และอำนาจหน้าที่ รวมถึงให้เรียนการกระทำความผิดของโรงงานที่ปล่อยปละละเลยนำสารไซยาไนด์ไปขาย เพื่อเตรียมที่จะดำเนินคดีต่อโรงงาน และเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งขณะนี้ทางตำรวจมีข้อมูลโรงงานที่นำไปขาย แต่ต้องมีการพูดคุยกับเจ้าของ พ.ร.บ. ว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดอะไร หากเข้าข่ายการกระทำความผิด ทางตำรวจจะทำรายงานการสอบสวน และให้กรมโรงงานเป็นผู้กล่าวหาในฐานะเจ้าของ พ.ร.บ. ซึ่งกรณีนี้จะแยกเป็นคดีใหม่อีก 1 คดี