svasdssvasds
เนชั่นทีวี

อาชญากรรม

"น.ส.แอม" เปิดใจก่อนถูกจับ ระบุ ไปขอความเป็นธรรมศาล หลังสื่อโจมตีหนัก

ครอบครัวเหยื่อ ต้องสงสัย "น.ส.แอม" วางยา ทยอยร้องขอความเป็นธรรม-ให้ข้อมูลตำรวจ หลังพบลักษณะการเสียชีวิตคล้ายเท้าแชร์สาว ด้าน "น.ส.แอม" เปิดใจก่อนถูกจับ ไปขอเป็นธรรมที่ศาล หลังสื่อโจมตีอย่างหนัก ส่วน ทนายความ ยืนยัน แอมไม่ได้ทำ

ความคืบหน้าทางคดี น.ส.ศิริพร ขันวงษ์ หรือ "ก้อย" วัย 32 ปี เท้าแชร์ ชาว จ.กาญจนบุรี ที่ไปปล่อยปลากับ "นางสาวแอม" ภรรยาตำรวจ จ.ราชบุรี ก่อนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2566 บริเวณริมท่าน้ำ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ซึ่งทางครอบครัวติดใจการเสียชีวิต ว่าจะถูกวางยาหรือไม่ และได้เดินหน้าร้องขอความเป็นธรรมกับกองปราบปราม และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ระทั่งมีการออกหมายจับและจับกุม น.ส.แอม ได้เมื่อเวลาประมาณ 11.30 น. วันนี้ (25 เมษายน)

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 10.40 น. ก่อนที่ "นางสาวแอม" จะถูกจับกุม ทีมข่าวได้โทรศัพท์ไปพูดคุยกับทนายความของนางสาวแอม ให้ข้อมูลว่า ข่าวที่ออกมาค่อนข้างแรงหลังจากที่ตนเองได้สอบข้อเท็จจริงกับลูกความแล้ว ก็ได้ห้ามไม่ให้ลูกความให้ข้อมูลและให้เงียบไปก่อนเพื่อดูท่าที และให้ฟ้องต่อศาลเพื่อขอความเป็นธรรม

ส่วนกรณีที่ว่า "นางสาวแอม"  ได้ลงไปช่วยก้อยหรือไม่หลังจากก้อย เป็นลมนั้น ทนายความ ยืนยันว่า ได้ลงไปช่วย โดยลูกความตนตั้งครรภ์อยู่ ไม่แต่ใจว่ากี่เดือน ทำให้เดินไม่ค่อยสะดวก ภาพกล้องวงจรปิดจะเห็นว่า เดิน ๆ หยุด ๆ แต่ก็ได้ลงไปด้านล่างด้วย และไปตามคนมาช่วยด้วย และที่กล่าวหาว่า ลูกความตนโยนของทิ้งนั้น ไม่เป็นจริง เพราะที่ถือไปในมือคือดอกไม้และถุงปลา

ส่วนเรื่องทรัพย์สินของก้อยที่หายไป ขอให้เป็นรายละเอียดในสำนวนที่ "นางสาวแอม" ให้การกับตำรวจไว้แล้ว หลังจากนี้จะหาพยานมาต่อสู้คดีเพื่อหักล้างกับพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ

\"น.ส.แอม\" เปิดใจก่อนถูกจับ ระบุ ไปขอความเป็นธรรมศาล หลังสื่อโจมตีหนัก

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีหลายเคสที่เริ่มมีข้อมูลว่า "นางสาวแอม" เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ทนายความ ระบุว่า ก็ได้ถามลูกความด้วยเช่นกัน แต่เจ้าตัวไม่ได้ตอบอะไรมาก และทนายความทำคดีที่เกี่ยวกับก้อย เท่านั้น ก็ต้องดูสำนวนของพนักงานสอบสวนอีกครั้ง ทั้งนี้ก็เป็นสิทธิของจำเลยที่จะให้การอย่างไรก็ได้

ทั้งนี้ หลังจากเกิดกระแสข่าว ยอมรับว่าลูกความเครียด ความดันขึ้น ส่วนกรณีที่ว่า ตอนแรกนางสาวแอม ให้ข้อมูลว่าไม่รู้ไม่เห็น แต่ตอนหลังยอมรับว่าอยู่กับก้อยนั้น ทนายความบอกว่า เท่าที่ทราบที่แอมไม่อยากพูดเพราะมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมด้วย จึงไม่อยากให้เกิดความเสื่อมเสีย และจะเป็นการหมิ่นประมาทผู้เสียชีวิตด้วยจึงไม่ได้พูด

ทนายความ ยังชี้แจงอีกว่า นางสาวแอม ได้หย่ากับสามี ที่เป็นรองผู้กำกับ ประมาณปี 2564 มีเอกสารทะเบียนหย่าชัดเจน แต่ที่ยังเข้าไปที่บ้านพักก็เพราะมีลูกที่ต้องดูแลด้วยกัน หลังจากหย่ากับสามีที่เป็นตำรวจ ก็ได้ไปคบหากับ นายสุทธิศีกดิ์ พูนขวัญ ซึ่งเป็นชาวอุดรธานี แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส และต่อมา นายสุทธิศักดิ์ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2566

ระหว่างผู้สื่อข่าวกำลังพูดคุยกับทนายความ นางสาวแอม ได้โทรศัพท์เข้ามาหาทนายความ จึงได้สอบถามว่า นางสาวแอม มีอะไรอยากจะบอกกับสื่อมวลชนหรือไม่ โดยเจ้าตัว บอกกับสื่อมวลชน สั้น ๆ ว่า ขอยืนยันคำเดิมตามที่ทนายความบอกว่า ถ้าอยากได้ความเป็นธรรมเราต้องไปที่ศาล ไม่ได้ไปหาสื่อ ตนเองโดนโจมตีเยอะมาก เลยขอไปที่ศาลก็แล้วกัน

จากนั้นทนายความถามว่า แล้วไปมาหรือยัง โดยเจ้าตัวตอบกลับว่า ไปมาเรียบร้อยแล้ว และไปที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ด้วย แต่เมื่อถามว่า ความรู้สึกตอนนี้เป็นอย่างไร นางสาวแอม ก็วางสายไป

ฟังคลิปเสียงนางสาวแอม

ครอบครัวเหยื่อ ต้องสงสัยโดนวางยา ทยอยร้องขอความเป็นธรรม-ให้ข้อมูลตำรวจ 

ขณะเดียวกันวันนี้(25 เมษายน) มีการประชุมติดตามความคืบหน้าทางคดี ซึ่งมีเหยื่อหลายรายที่เดินทางเข้ามาร้องขอความเป็นธรรมเพิ่มเติมด้วย ซึ่งสามีและลูกสาวของน.ส.กะณิกา หรือ เอ้ะ (ผู้เสียชีวิต) อายุ 44 ปี หนึ่งในผู้เสียชีวิต เมื่อเดือนกันยายนปี 2565 ในลักษณะคล้ายกับ ก้อย ได้เดินทางมาร้องขอความเป็นธรรม

สามีและลูกสาวของผู้เสียชีวิต ระบุว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2565 หลังแม่ขับรถออกไปจากบ้านที่กรุงเทพมหานคร ก่อนไปนัดเจอกันกับ "นางสาวแอม" ที่ จ.ราชบุรี และได้เปลี่ยนรถกัน ซึ่งแม่มานั่งรถของ นางสาวแอม แล้วก็ไปเป็นลมเสียชีวิตอยู่ที่ปั๊ม ปตท. โพธาราม

เท่าที่ทราบข้อมูลแม่ได้รู้จักกับ "นางสาวแอม" ผ่านทางเฟซบุ๊ก ได้ราว 3 เดือน ส่วนใหญ่จะพูดคุยกันเรื่องปัญหาชีวิต ดูดวง แก้กรรม และทำบุญกัน จนเกิดความไว้ใจ แต่ในวันเกิดเหตุแม่ไม่ได้บอกว่าจะไปไหน แค่บอกเพียงว่า “เดี๋ยวออกไปข้างนอก กลับตอนเย็น” จนสุดท้ายมาทราบว่าแม่เป็นลมวูบไปที่ปั๊มแล้วเสียชีวิต ซึ่งหมอได้ชันสูตรสาเหตุการเสียชีวิตของแม่ว่ามาจาก “มีเลือดออกในสมอง” ส่วนข้อเท็จจริง คือ เป็นลมแล้ววูบไป ประกอบกับม่านตาไม่ตอบสนอง

วันเกิดเหตุ "นางสาวแอม" อยู่ในเหตุการณ์ แต่ไม่ได้ช่วยเหลืออะไร ทำเพียงแค่ยืนรอรถพยาบาลที่ตอนนั้นมาช้าไป 30 นาทีแล้ว โดยหลังเกิดเรื่อง "นางสาวแอม" ไม่เคยมาพูดคุยกับทางครอบครัวอย่างเป็นทางการ มีเพียงพูดคุยกับพ่อและน้า แต่ไม่ได้เล่ารายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บอกแค่ว่า เห็นแม่เป็นลม รวมถึงยังพยายามและย้ำถึงการแสดงตัวตนว่า เป็นภรรยาตำรวจยศใหญ่

\"น.ส.แอม\" เปิดใจก่อนถูกจับ ระบุ ไปขอความเป็นธรรมศาล หลังสื่อโจมตีหนัก

ส่วนทรัพย์สินที่หายไปและยังไม่ได้คืนกลับมา ได้แก่ โทรศัพท์ 1 เครื่อง , เงินจำนวนหนึ่ง และทองหลายบาท เนื่องจากเห็นภาพสุดท้ายของแม่ว่ามีทรัพย์สินจำนวนมาก ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้พยายามสอบถามไปยัง "นางสาวแอม" แล้ว แต่ก็ติดต่อไม่ได้และสุดท้ายก็เงียบหายไป ที่สำคัญที่สุดในช่วงงานศพ "นางสาวแอม" ไม่เคยมาร่วมงานและไม่เคยมารถน้ำศพแม่เลย

ก่อนหน้านี้ ทางครอบครัว ยอมรับว่าไม่ได้สงสัย เพราะยังช็อกกับการสูญเสียของแม่ แต่พอเรื่องผ่านไปและล่าสุดได้เห็นข่าว ก็เลยย้อนคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าผิดปกติ เพราะหลายเคสส่วนใหญ่วูบแล้วก็เสียชีวิตเหมือนกัน รวมถึงทรัพย์สินยังหายไปด้วย

แต่ในช่วงหลังจากเหตุการณ์และจัดการงานศพทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ยอมรับว่า ไม่ได้ไปแจ้งความ แต่สาเหตุที่มาวันนี้อยากได้รับความเป็นธรรมและอยากให้ความจริงกระจ่าง ส่วนเรื่องธุรกิจหรือการยืมเงินหรือการเล่นแชร์ จะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ ยังไม่แน่ชัดและขอให้รายละเอียดอยู่ในสำนวน