นายกสมาคมทนายฯ จี้ "บิ๊กตู่" ยกเลิกประมูลรถไฟฟ้าสีส้ม เพื่อประโยชน์ประเทศ

10 มีนาคม 2566 นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ความว่า ตามที่สังคมไทยได้วิพากษ์วิจารณ์กรณีการจัดหาผู้ดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม จนนำไปสู่การกล่าวหาว่าการดำเนินโครงการส่อไปในทางทุจริต ทำให้ประเทศชาติสูญเสียประโยชน์เป็นเงินถึงประมาณ 68,000 ล้านบาท นั้น

เมื่อพิจารณาจากข้อกล่าวหาแล้ว เห็นว่าสังคมมีความสงสัยใน 2 ประเด็น ได้แก่ (1) การกำหนดคุณลักษณะผู้มีสิทธิเข้าเสนอราคา (TOR) มีการกีดกันผู้ประกอบการบางรายที่เรียกว่า “ล็อกสเปก” หรือไม่ และ (2) เหตุใดจำนวนเงินที่รัฐต้องอุดหนุนผู้ประกอบการรายใหม่จึงเพิ่มขึ้นมากกว่าการประกวดราคาครั้งแรกถึง 68,000 ล้านบาท ทั้งที่มีเนื้องานเท่ากัน

ข้อสงสัยทั้ง 2 ประเด็นมีความสำคัญยิ่ง เพราะเงินที่รัฐต้องอุดหนุนมาจากภาษีอากรของพี่น้องประชาชน จึงเป็นภาระที่ประชาชนชาวไทยต้องเป็นผู้แบก แต่ประเด็นดังกล่าวยังไม่เคยได้รับคำชี้แจงที่ชัดเจนจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ ประกอบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบกำกับ รฟม. ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ในขณะที่รัฐมนตรีช่วยว่าการที่รักษาราชการแทนมีแนวโน้มที่จะชะลอการนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุม คณะรัฐมนตรีอันมีลักษณะเป็นการซื้อเวลา ซึ่งไม่ใช่การแก้ปัญหาแต่กลับจะทำให้ความเสียหายขยายวงมากขึ้น

สมาคมทนายความแห่งประเทศไทยเห็นว่า การปล่อยเรื่องให้เนิ่นช้าออกไปจะทำให้ประเทศและประชาชนเสียประโยชน์ ทั้งยังอาจถูกมองว่าเป็นการซื้อเวลาเพื่อต่อรองผลประโยชน์ระหว่างพรรคการเมือง เพราะรัฐมนตรีช่วยว่าการและนายกรัฐมนตรีต่างเป็นสมาชิกพรรคการเมืองที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับการดำเนินโครงการดังกล่าวทั้งสิ้น จึงสมควรที่นายกรัฐมนตรีจะได้ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ
 

อันจะเป็นการพิสูจน์ถึงความซื่อสัตย์สุจริตที่อ้างตลอดเวลา ด้วยการสั่งให้ยกเลิกการประกวดราคารถไฟฟ้าสายสีส้มที่ทำให้รัฐอาจต้องสูญเสียเงินเพิ่มถึง 68,000 ล้านบาท และให้มีการจัดหาผู้ร่วมดำเนินการใหม่ ซึ่งจะทำให้ประเทศได้ประโยชน์และทำได้รวดเร็วกว่าการชะลอเรื่องเพื่อซื้อเวลา แต่การดำเนินการครั้งนี้จะต้องไม่มีการล็อกสเปกเหมือนการดำเนินการครั้งที่ 2 เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการทุกราย ได้มีโอกาสเข้าสู้ราคาอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมอันเป็นการออกคำสั่งทางปกครอง เพื่อปกป้องประโยชน์ของประเทศที่เป็นประโยชน์สาธารณะซึ่งนายกรัฐมนตรีจะได้รับความคุ้มครองตามกฏหมาย