svasdssvasds
เนชั่นทีวี

อาชญากรรม

กู้ภัยข้องใจ ผลตรวจแอลกอฮอล์รอด ตั้ง 6 ข้อสงสัย ตร.เอื้อเสี่ยเบนท์ลีย์

11 มกราคม 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

กู้ภัยข้องใจ ผลตรวจแอลกอฮอล์รอด! ไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด พร้อมตั้ง 6 ปมข้อสงสัย ตำรวจ เอื้อเสี่ยเบนท์ลีย์

11 มกราคม 2566 จากกรณีนักธุรกิจขับเบนท์ลีย์ พุ่งชนรถอปพร.  ขณะรีบขับไปช่วยผู้ประสบเหตุเพลิงไหม้ และ รถมิตซูบิชิปาเจโร ของประชาชนที่กำลังเดินทางกลับบ้าน จนมีผู้บาดเจ็บหลายราย เหตุเกิดบนทางด่วนเฉลิมมหานคร พื้นที่ สน.ทางด่วน 1 เมื่อช่วงกลางดึกวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมานั้น

ล่าสุดผลตรวจเลือดวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ผู้ขับรถยนต์เบนท์ลีย์ จากโรงพยาบาลตำรวจ พบว่า มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดอยู่ไม่เกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

นายอิทธิพล ประสงทรัพย์ อายุ 35 ปี เจ้าหน้าที่อาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยมัสยิดฮารูณ คนขับรถ อปพร. เปิดเผยว่า หลังจากการที่คู่กรณีส่งตัวแทนมาเจรจาครั้งล่าสุด ก็ยังไม่ได้รับการติดต่อมาแต่อย่างใด อีกทั้งตั้งแต่เกิดเหตุก็ยังไม่มีการขอโทษจากผู้ขับขี่เบนท์ลีย์

นายอิทธิพล ประสงทรัพย์

เปิดคลิปคนขับเบนท์ลีย์ โดดขึ้นแท็กซี่

ทั้งนี้ในวันเกิดเหตุ คลิปที่ปรากฏว่ามีการล้อมรถแท็กซี่ ที่คู่กรณีพร้อมหญิงสาวหน้าตาดีขึ้นรถไปนั้น เป็นเหตุการณ์ก่อนที่จะเข้ามาโรงพัก ซึ่งทางคู่กรณีได้โบกแท็กซี่ที่ผ่านจุดเกิดเหตุ ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนรถและเคลื่อนออกไปจนพรรคพวกกู้ภัยที่ตามมา ผิดสังเกต ก่อนจะขับรถตามและไปดักไว้ได้ที่บริเวณจุดลงทางด่วน ก่อนจะช่วยกันล้อมรถแท็กซี่ไว้ และให้รถแท็กซี่พาไปที่ สน.ทางด่วน 1 ซึ่งคู่กรณีก็เข้าไปในโรงพัก ส่วนตนก็ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ก่อนจะกลับเข้ามาที่ สน.ทางด่วน 1 เพื่อเซ็นชื่อในใบลงบันทึกประจำวัน โดยขณะนั้นเป็นเวลาระหว่าง 04.00 - 05.00 น. ก็เห็นคู่กรณียังอยู่ที่โรงพัก ก่อนที่ตำรวจจะส่งตัวไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลตำรวจ

คนขับเบนท์ลีย์ ขึ้นแท็กซี่ อปพร.ล้อมรถไม่ให้ไป

นายอิทธิพล กล่าวอีกว่า คู่กรณีรับปากว่าจะชดใช้ค่าเสียหายเป็นรถและอุปกรณ์ดับเพลิงที่ได้รับความเสียหายทั้งหมด แต่จนถึงปัจจุบันก็ ยังไม่ได้รับการติดต่อมาแต่อย่างใด และทราบว่า ผลการตรวจเลือดเรื่องปริมาณแอลกอฮอล์พบว่าไม่เกินกฎหมายกำหนด ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากที่คาดการณ์ไว้แต่อย่างใด การบาดเจ็บในขณะนี้ยังมีอาการเจ็บปวดตามร่างกาย รวมถึงยังไม่สามารถออกไปปฏิบัติหน้าที่ได้

ครอบครัวปาเจโรมอบทนายดำเนินการ

ด้านครอบครัวของคนขับรถปาเจโร่ ระบุว่า หลังจากพบกับตัวแทนทางคนขับเบนท์ลีย์ ก็ยังไม่มีการพูดคุยหรือได้รับการติดต่อมาอีกเลย ส่วนเรื่องการเยียวยาค่าเสียหาย ได้มอบหมายให้ทนายความเป็นผู้ดำเนินการ ส่วนผู้บาดเจ็บทั้งหมดยังคงรักษาตัวอยู่ โดยคุณพ่อยังรักษาบาดแผลเนื่องจากเป็นเบาหวานด้วย ส่วนน้องสาวที่บาดเจ็บคอเคล็ดก็ยังใส่ที่ดามไว้ และวันนี้(11 ม.ค.) ก็จะพาหลานชายไปตรวจสุขภาพเพิ่มเติม 

อย่างไรก็ตามในส่วนของผลตรวจเลือดเรื่องปริมาณแอลกอฮอล์ที่มีกระแสข่าวว่า ไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ส่วนตัวยังไม่เห็นเอกสารอย่างเป็นทางการ และไม่ขอแสดงความคิดเห็นในกรณีดังกล่าว เนื่องจากเรื่องของคดีได้มอบหมายให้ทนายความจัดการทั้งหมด ส่วนที่เหลือก็จะเป็นการดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจของคนในครอบครัวเท่านั้น

ครอบครัวปาเจโร

ทั้งนี้ ผู้เสียหายทั้งคนขับรถยนต์ปาเจโร และเจ้าหน้าที่ อปพร. ได้ตั้งข้อสังเกต 6 ข้อ ซึ่งได้รวบรวมจากกลุ่มผู้เสียหายในคดี เพราะพวกเขาเองย้ำว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่นกับกระบวนการยุติธรรม เวลาที่เจอคนรวย หรือคนมีอำนาจแล้ว ผู้เสียหายจะถูกเอารัดเอาเปรียบอยู่เสมอ และหวั่นเกรงว่าจะซ้ำรอยคดีทายาทเศรษฐี บอส วรยุทธ อยู่วิทยา  ที่มีการช่วยเหลือทางคดีจากทั้งตำรวจ อัยการ จนถึงป่านนี้ ผ่านมา 11 ปีแล้ว ผู้ต้องหายังไม่เคยรับโทษ

ตั้ง 6 ข้อสังเกตที่ชวนกังขา

        1. การรักษาสภาพที่เกิดเหตุ

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบนทางพิเศษ ในความรับผิดชอบของ สน.ทางด่วน 1 อปพร.ที่ให้ข้อมูลกับเรา ตั้งคำถามว่า ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุในกี่นาที ทั้งที่เป็นอุบัติเหตุชนครั้งใหญ่ขนาดนี้

        2. ผู้ต้องหานั่งแท็กซี่ออกจากที่เกิดเหตุได้อย่างไร

ต้องชม อปพร. ที่เห็นความไม่ชอบมาพากลของเรื่องนี้ และเห็นว่ามีแท็กซี่เขียวเหลือง ทะเบียน มข 8387 กรุงเทพมหานคร วิ่งขึ้นมารับผู้ต้องหา และหญิงสาวสวยที่นั่งมาด้วย ลงไปจากทางด่วนที่เกิดเหตุ จุดนี้จะเป็นความพยายามในการหลบหนี หรือจะอ้างว่านั่งรถไปโรงพัก ยังไม่ชัดเจน

แต่สิ่งที่เป็นคำถามคือ ถ้าตำรวจมาคุมสถานที่เกิดเหตุโดยเร็วแล้ว ผู้ต้องหาจะนั่งรถแท็กซี่ออกไปแบบนี้ได้หรือไม่ และใครเป็นผู้เรียกรถให้

กู้ภัยข้องใจ ผลตรวจแอลกอฮอล์รอด ตั้ง 6 ข้อสงสัย ตร.เอื้อเสี่ยเบนท์ลีย์

        3.ไม่ดำเนินการเป่าแอลกอฮอล์ผู้ต้องหา

เมื่อไปถึงโรงพัก สน.ทางด่วน 1 มีการกันไม่ให้ อปพร. ตามเข้าไปใน สน. อ้างว่าเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ทางกลุ่มกู้ภัยฯ เขาเองก็ต้องการความชัดเจน เพราะรถเสียหาย เพื่อนบาดเจ็บ จะดูว่ามีการเป่าเมาคนขับไหม เพราะแหล่งข่าวที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ยืนยันชัดเจนว่าได้กลิ่นเหล้าโชยคละคลุ้ง ต้องมีการดื่มแอลกอฮอล์อย่างแน่นอน

สุดท้าย ผู้ต้องหาอ้างว่าเจ็บหน้าอก ปฏิเสธการเป่าแอลกอฮอล์ จึงมีคำถามว่า กฎหมายใหม่ระบุไว้แล้วว่า หากปฏิเสธการเป่าแอลกอฮอล์ให้ถือว่าเมาไว้ก่อน ตำรวจได้แจ้งข้อหาแล้วหรือยัง

ในขณะนี้ มีการแจ้ง 2 ข้อหา คือ ขับรถประมาททำให้ผู้อื่นเสียทรัพย์ กับขับรถประมาททำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ

        4.รถหรูไม่มีประกันภัย

เบนท์ลีย์ คอนติเนนตัล จีที สีเทา ทะเบียน 7 กค 3822 กรุงเทพมหานคร ราคาเริ่มต้นที่ 17 ล้านบาทคันนี้ ปรากฎว่าไม่มีประกันภัย แต่ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน ในเรื่องการรับผิดชอบค่าเสียหายกับรถปาเจโรป้ายแดง และรถกระบะดับเพลิงของอาสากู้ภัย แต่อย่างใด

        5.แอบอ้าง "บิ๊กดีเอสไอ" พาผู้ต้องหาไป รพ.ตำรวจ

ในช่วงที่นายสุทัศน์ ผู้ต้องหาอยู่ที่โรงพัก อปพร.พบว่าผู้ต้องหา มีการใช้โทรศัพท์โทรหาคนรู้จักอย่างต่อเนื่อง จากนั้นได้มีชายสูงอายุพร้อมลูกน้อง อ้างตัวเป็นอดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เข้ามาแสดงตัวกับเจ้าหน้าที่ อ้างว่าจะพาผู้ต้องหาไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลตำรวจ ระหว่างนั้น มีการส่งน้ำให้ผู้ต้องหาดื่มอย่างน้อย 3-4 ขวด โดยลูกน้องสั่งห้าม อปพร.ถ่ายคลิปเด็ดขาด

ระหว่างที่ชายอ้างตัวเป็นอดีตข้าราชการระดับสูง พาผู้ต้องหาออกไป ทางตำรวจทางด่วน 1 ได้ขี่รถจักรยานยนต์ตามไป จึงมีคำถามว่าเหตุใดตำรวจจึงปล่อยให้บุคคลนอก เข้ามายุ่งเกี่ยวกับคดี

         6.พฤติกรรมวาจาที่ใช้กับผู้เสียหาย

ผู้เสียหายทั้งคนขับรถยนต์ปาเจโร และเจ้าหน้าที่ อปพร. ต่างรู้สึกไม่ดีกับคำพูดของเจ้าหน้าที่ตำรวจบางคน ที่ใช้คำพูดรุนแรงกระแทกเสียง จึงขอฝากถึงเจ้าหน้าที่ ว่าต้องทำงานกับประชาชนอยากขอให้ปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันทุกฝ่าย ผู้เสียหายถูกพูดจากระแทกเสียงใส่ แต่ในขณะที่ผู้ต้องหา กลับเอาอกเอาใจ ให้สิทธิพิเศษหลายอย่างๆ

นายกสมาคมแพทย์นิติเวช จี้คำนวนผลเลือดตามเวลา

ล่าสุด นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ นายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย และกรรมการแพทยสภา ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กว่า ที่ตำรวจไม่ได้ให้เป่าลมหายใจตรวจหาแอลกฮอล์ในเลือดของคนขับรถ แต่ส่งไปให้แพทย์เจาะเลือดส่งตรวจแทน

จริงๆ พอยอมรับได้นะครับกับการให้เจาะเลือด แต่ต้องใช้หลักวิทยาศาสตร์ด้วย ว่า “แอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ป่วยจะหายไปทุกๆ ชั่วโมงที่ผ่านไป” ดังนั้นผลเเอลกอฮอล์ในเลือด ณ เวลาที่เจาะ จะใช้ไม่ได้ ต้องส่งให้แพทย์นิติเวชทำการคำนวณหาแอลกอฮอล์ในเลือด ณ เวลาที่เกิดอุบัติเหตุ

นอกจากนี้ต้องส่งคนขับรถไปเจาะตรวจเลือดให้เร็วที่สุด ถ้ามีการประวิงเวลาในการตรวจ เท่ากับเป็นการปฏิเสธการตรวจได้เลย

แนะตรวจเลือดต้องคำนวนย้อนกลับตามเวลาที่หายไป

เรื่องนี้เป็นประเด็นที่เห็นมานานว่าในไทยทางตำรวจไม่ค่อยมีการส่งให้แพทย์ทำการคำนวณย้อนกลับกัน ทั้งๆ ที่ต่างประเทศทำกันเป็นเรื่องปกติ หรือในไทยบริษัทประกันชีวิตก็มีการให้คำนวณแบบนี้แล้ว

นอกจากนี้บางทียังมีการส่งคนขับรถไปโรงพยาบาลให้เจาะเลือดช้า บางทีที่เคยเจอคือ ไม่กำหนดให้ไปเจาะเลยทันที ให้ไปตอนเช้าอีกวันเลยก็มี ซึ่งแบบนี้แทบไม่มีความหมายเลย

อีกทั้งในการเลือกให้เป่าลมหายใจตรวจแอลกฮอล์หรือเจาะเลือด ตามกฎหมายระบุว่าให้ตรวจจากการเป่าลมหายใจก่อน ถ้าไม่สามารถทดสอบได้ จึงตรวจจากเลือด 

ดังนั้นไม่ควรอ้างว่าตรวจจากเลือดแปลผลดีกว่า แล้วไม่ตรวจลมหายใจ ทั้งๆ ที่คนขับรถสบายดี เพราะผิดหลักกฎหมายและการตรวจช้าลงก็ได้ผลที่ถูกต้องช้าลงด้วย 

คุณหมอสมิทธิ์ ทิ้งท้ายว่า หากเคสนี้ไม่มีการคำนวณย้อนกลับ สามารถเชิญผมไปเป็นพยานเพื่อช่วยในการคำนวณได้นะครับ

logoline