กรณีช่วงเวลา 08.45 น. วันที่ 14 กันยายน 2565 เกิดเหตุระทึก ทหารกราดยิงเพื่อนร่วมงานเสียชีวิต 2 ศพ และบาดเจ็บ 1 ราย โดยที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ชุดสายตรวจปราบปรามจากของ สน. ดุสิต ปิดกั้นถนนเทอดดำริ พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนหนึ่งเข้าไปเจรจากับผู้ก่อเหตุซึ่งยืนอยู่บริเวณริมกำแพงด้านหน้ากรมยุทธศึกษาทหารบก
จากการสังเกตพบว่า ผู้ก่อเหตุอยู่ในอาการสงบนิ่งในมือข้างขวาถือโทรศัพท์ ส่วนมือข้างซ้ายถืออาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุอยู่ตลอดเวลา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาในการเจรจาประมาณ 30 นาที ผู้ก่อเหตุจึงลดอาวุธ นำเครื่องกระสุนออกจากปืน
โดยการนำแมกกาซีนออกจากตัวปืน และสไลด์กระสุนที่ค้างอยู่ในรังเพลิงออกก่อนจะเก็บอาวุธปืน และมอบตัวต่อเจ้าหน้าที่่ตำรวจที่ทำหน้าที่เจรจาอยู่ ซึ่งระหว่างการเจรจาเจ้าหน้าที่่ได้ส่งสัญญาณมือบอกไม่ให้เพื่อนตำรวจนายอื่นวิ่งเข้าชาร์จ เนื่องจากเกรงว่า ผู้ก่อเหตุจะตกใจ กระทั่งเจ้าหน้าที่เจรจาสามารถเข้าถึงตัวผู้ก่อเหตุได้
ในเวลาต่อมาจึงมีการยึดอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ ก่อนคุมตัวผู้ก่อเหตุเดินกลับเข้าไปภายในกรมยุทธศึกษาทหารบก เพื่อพูดคุยเบื้องต้นกับเจ้าหน้าที่ทหารชั้นผู้ใหญ่
ต่อมา พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วย พล.ต.ต.สำเริง สวนทอง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้เดินทางมายังที่เกิดเหตุ เพื่อสอบปากคำผู้ก่อเหตุ ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ภายในพื้นที่กรมยุทธศึกษาทหารบก
ด้านนางสุทธิลักษณ ครองตน อายุ 61 ปี อดีตเจ้าหน้าที่สรรพาวุธทหารบก พี่สาว
จ่าสิบเอกนพรัตน์ ผู้เสียชีวิต ที่ได้เดินทางมาถึงจุดเกิดเหตุ เปิดเผยว่า ตนเป็นอดีตข้าราชการทหารที่ทำงานอยู่ที่กรมสรรพาวุธทหารบก ส่วนตัวยังไม่ทราบรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องชาย เพราะก่อนหน้านี้น้องชายก็ไม่เคยเล่าปัญหาอะไรให้ฟังว่าภายในองค์กรมีเรื่องผิดใจกับใครหรือไม่
"ไม่รู้จักผู้ก่อเหตุ เพราะน้องชายไม่เคยพาหรือมาแนะนำให้รู้จัก ตอนนี้อยากรู้ว่าสาเหตุของการก่อเหตุมาจากเรื่องอะไรทำไมถึงต้องทำรุนแรงกันกับน้องชายขนาดนี้ เพราะน้องชายเหลืออายุราชการอีกเพียง 2 ปี เขาจะเกษียณกลับไปอยู่บ้านตามที่ได้มีการพูดคุยกันไว้ก่อนหน้านี้ ไม่คิดว่าจะมาเกิดเรื่องร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตกับน้องชายแบบนี้ ฉันเองยังทำใจไม่ได้ ขณะนี้ยังไม่รู้ว่าต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป แต่จะเดินทางไปที่โรงพยาบาลเพื่อดูศพน้องชายก่อน" (อ่านเพิ่มเติม)