น.ส.วราภรณ์ อุทัยรังษี หรือ ทนายแป๋ม ทนายความปู่คออี้ ผู้นำทางจิตวิญญาณชาวกะเหรี่ยงบางกลอย) เปิดเผยกับเนชั่นออนไลน์ กรณีถูกนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เข้าแจ้งความร้องทุกข์ และให้ดำเนินคดีกลับฐานสร้างเรื่องเท็จใส่ร้ายเผาหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง
น.ส.วราภรณ์ ยืนยัน วันที่ 31 สิงหาคม 2565 จะเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวตามนัดแน่นอน ที่สภ.แก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เวลา 10.00 น. พร้อมต่อสู้คดีความไปตามกระบวนการของกฎหมาย พร้อมระบุ สิ่งที่เคยพูดไปล้วนเป็นความจริง เพราะเรื่องดังกล่าวศาลปกครองเคยพิพากษาไว้แล้ว
อย่างไรก็ตาม สำหรับต้นเรื่องของคดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2558 ปู่คออี้ และน.ส.วราภรณ์ ผู้รับมอบอำนาจ ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ และให้ดำเนินคดีอาญากับนายชัยวัฒน์ อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานกับพวก ในกรณีเผาไล่รื้อหมู่บ้านกะเหรี่ยงแก่งกระจานเมื่อวันที่ 5-9 พฤษภาคม 2554 เวลากลางวัน แต่วันที่เท่าใดไม่ทราบเวลาที่แน่ชัด ทำให้ที่อยู่อาศัย ยุ้งฉาง และทรัพย์สินของชาวบ้านได้รับความเสียหาย ซึ่งนายชัยวัฒน์อ้างว่าไม่เป็นความจริง
โดยเพิงพักที่ได้มีการจุดไฟเผา เป็นเพิงพักร้างไม่มีผู้อยู่อาศัยแล้ว อีกทั้งยังมีพยานหลักฐานว่า การเผาเพิงพักเหล่านั้น ไม่ได้กระทำในวันที่ 5-9 พฤษภาคม 2554 ตามที่ได้มีการกล่าวอ้าง การแจ้งความร้องทุกข์ของปู่คออี้ และนางสาววราภรณ์ ผู้รับมอบอำนาจ จึงเป็นการแจ้งความเท็จ จึงแจ้งความกลับไว้ที่ สภ.แก่งกระจานเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมที่ผ่านมา
สำหรับข้อกล่าวหาที่แจ้งเอาผิดแก่น.ส.วราภรณ์ ประกอบด้วย
การแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย , แจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ,รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำความผิด , แจ้งข้อความตามมาตรา 172 หรือมาตรา 173 เป็นการเพื่อจะแกล้งให้บุคคลใดต้องรับโทษหรือรับโทษหนักขึ้น และกระทำความผิดตามมาตรา 174 ในกรณีแห่งข้อหาว่าผู้ใดกระทำความผิดที่มีระวางโทษถึงประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 , 172 , 173 , 174 วรรค 2 และ 181 และตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม สำหรับนายชัยวัฒน์ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา เพิ่งถูกอัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องร่วมกับพวก 4 คน พัวพันกรณี นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ “บิลลี่” ชาวกะเหรี่ยงบางกลอย ที่หายตัว ตั้งแต่ 17 เมษายน 2557 โดยข้อหาประกอบด้วย
1. ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแก่ตามที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนกระทำไว้
2. ร่วมกันโดยมีอาวุธข่มขืนใจโดยให้ผู้อื่นกระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง
3. ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย
4. ร่วมกันทุจริตหรืออำพรางคดี กระทำการใดๆแก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะมำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป
จากนั้น นายชัยวัฒน์ เปิดใจกับทีมข่าวเนชั่นออนไลน์ ยืนยัน
ไม่ได้รู้สึกกังวลหรือหนักใจในคดีแต่อย่างใด มั่นใจว่าตนพร้อมพวกเป็นผู้บริสุทธิ์ คนที่ทำแบบนั้นได้ถือว่าชั่วช้าเลวทรามมาก หากทำจริงขอให้ตกนรก เชื่อว่าศาลจะให้ความเป็นธรรมและเมตตาได้รับการประกันตัวในชั้นอัยการ เนื่องจากไม่มีเจตนาหลบหนีแต่อย่างใด