
24 กรกฎาคม 2568 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว. อุตสาหกรรม กล่าวในงาน Thailand SMART SME 2025 "Smart Solutions & Sustainable Growth" ซึ่งจัดขึ้นโดย โพสต์ทูเดย์ สื่อในเครือเนชั่น ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ผู้ประกอบการ SME ของไทยจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก แทนที่จะมุ่งกังวลแต่เรื่องภาษีตอบโต้ทางการค้า (Countervailing Duty) ซึ่งมีแนวโน้มจะประกาศใช้ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้
นายเอกนัฏ กล่าวว่า สถานการณ์ภาษีตอบโต้ทางการค้าที่หลายประเทศประกาศไปแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ยังไม่มีความแน่นอน เนื่องจากมีการกำหนดเงื่อนไขใหม่และภาษีที่สูงขึ้นสำหรับสินค้าที่ถูกตีความว่าเป็นสินค้าที่มาจากประเทศที่สาม หรือ "สินค้าผ่านทาง" ทำให้ประเทศที่ถูกประกาศภาษีไปแล้วก็ยังไม่สามารถวางใจได้
"ในขณะที่เรากำลังกังวลเรื่องภาษี ผมคิดว่าเราควรจะกังวลในสิ่งที่น่ากลัวกว่าและควรใช้กำลังจัดการมากกว่า นั่นคือปัญหาภายในประเทศของเราเอง" นายเอกนัฏกล่าว พร้อมชี้ว่าปัจจัยความไม่แน่นอนเหล่านี้ ถูกกำหนดโดยกลุ่มประเทศมหาอำนาจ และเราไม่สามารถคาดการณ์ผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำ
ผลักดัน“Made in Thailand” สร้างความน่าเชื่อถือ
นอกจากนี้ยังเห็นว่า ประเทศไทยเคยภาคภูมิใจกับแบรนด์สินค้าภายในประเทศ แต่ภาพลักษณ์นั้นเริ่มถูกบั่นทอนจากการปล่อยปละละเลยให้มีการนำเข้าสินค้าเถื่อน เช่น สายไฟ เศษยาง พลาสติกด้อยคุณภาพ หรือการตั้งโกดังแฝงในเขต Free Zone เพื่อหลบเลี่ยงภาษี ดังนั้นจึงมีขอเสนอดังนี้
ปรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) อย่างเข้มงวด พัฒนาระบบร้องเรียนสินค้าผ่านแอปพลิเคชันและ AI ตรวจจับ
ปรับปรุงกฎหมายให้สามารถเอาผิดผู้ผลิต/นำเข้าสินค้าไม่มีคุณภาพได้จริง ส่งเสริมให้หน่วยงานรัฐจัดซื้อสินค้าคนไทย โดยเฉพาะ SME
ส่วนแนวทางสำคัญเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่ง SME ไทย รมว.อุตสาหกรรม ได้เสนอแนวทางหลักที่ภาครัฐและเอกชนควรเร่งดำเนินการร่วมกันเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับประเทศ ประกอบด้วย จัดการกับธุรกิจผิดกฎหมาย (ศูนย์เหรียญ): เร่งกวาดล้างธุรกิจที่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าด้อยคุณภาพ การผลิตสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน (มอก.) หรือโรงงานที่ปล่อยมลพิษ โดยระบุว่า ธุรกิจเหล่านี้บั่นทอนความเชื่อมั่นต่อสินค้า "Made in Thailand" และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งที่ผ่านมาพบปัญหานี้เป็นจำนวนมาก
ปกป้องสินค้าไทยที่มีคุณภาพ: ปกป้องผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าคุณภาพสูงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จากการถูกท้าทายด้วยสินค้าด้อยคุณภาพที่ลักลอบนำเข้ามาขายในราคาถูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าที่ขายผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งภาครัฐกำลังเร่งแก้ไขช่องว่างทางกฎหมาย และกระตุ้นให้คนไทยหันมาอุดหนุนสินค้าคุณภาพของไทยกันเอง
สนับสนุนการลงทุนและพัฒนาบุคลากร: ส่งเสริมการลงทุนที่พัฒนาฝีมือคนไทยและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยจะมีการกำหนดเงื่อนไขการลงทุนที่ชัดเจน เช่น การแบ่งพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมสำหรับ SME ไทย และการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะใหม่ๆ ให้แก่คนไทย
ปรับปรุงกฎระเบียบและลดขั้นตอนที่ล่าช้า: แก้ไขกฎหมายและระเบียบที่ไม่จำเป็น เพื่อลดขั้นตอนและอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะเรื่องการขอใบอนุญาตที่ล่าช้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนความน่าเชื่อถือและทำให้ผู้ประกอบการหันไปพึ่งพาช่องทางที่ไม่ถูกต้อง
"การทำงานที่รวดเร็ว โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ จะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการดึงดูดการลงทุน และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับประเทศไทยในระยะยาว โดยไม่ว่าสถานการณ์โลกจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด SME ไทยก็สามารถยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่ง"