
เมื่อกระแส “ดิไอคอนกรุ๊ป” กลายเป็นประเด็นร้อนของสังคม พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้เซ็นแต่งตั้ง พล.ต.ท.อัครเดช พิมลศรี ผช.ผบ.ตร. เป็นประธานตรวจสอบ ทำให้บรรดาผู้เสียหาย ต่างพึ่งพาบรรดาเหล่านักร้อง หรือองค์กรต่างในการเข้าแจ้งความเอาผิดกับทาง “ดิไอคอนกรุ๊ป” ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ไม่ว่าเป็นที่ ตำรวจกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.) หรือที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จากการเดินทางไปร้องทุกข์กล่าวโทษโดยตรงของกลุ่มผู้เสียหาย เพื่อเอาผิดบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป และกลุ่มผู้บริหาร สคบ.ในฐานะที่กำกับดูแลเกี่ยวกับธุรกิจการขายตรง รวมถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ เนื่องจากคดีมีความเสียหายเป็นจำนวนมาก เข้าเงื่อนไขตามกฎหมายกำหนด
ซึ่งระหว่างนั้นผู้ที่ปรากฏชื่อเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกลุ่มที่ส่อว่าจะต้องตกเป็นผู้ต้องหา ต่างออกมาเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็น ความเคลื่อนไหวของ “บอสพอล” ในการชี้แจงผ่านโซเชียล และการชิงเข้าพบตำรวจ การออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องของบรรดาบอสดารา รวมถึงบางส่วนพาผู้เสียหายเข้าแจ้งความ
แต่ที่สังคมให้สนใจไม่น้อยคือ ความเชื่อมโยงระหว่างดิไอคอนกับนักการเมือง หลังมีการเปิดคลิปเสียงอ้างถึงเทวดาที่คอยปกป้องดิไอคอนกรุ๊ป มีของเซ่นไหว้ตอบแทนที่ผู้คนเข้าใจได้ว่าคืออะไร ก่อนที่จะปรากฏชื่อของ นายสามารถ เจนชัยจิตวนิช อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ออก แต่ภายหลังเจ้าตัวให้การปฏิเสธ
เหล่านี้คือความเคลื่อนไหวในช่วงระหว่างวันที่ 9-14 ธ.ค. 67 ก่อนที่ปฏิบัติการจับกุม บรรดาบอสดิไอคอน ที่เริ่มขึ้น
“ปฏิบัติการจับ 18 บอส ทลายอาณาจักรดิไอคอน”
ต่อมาในวันที่ 15 ต.ค.67 ปฏิบัติทลายอาณาจักรดิไอคอนได้เริ่มต้น เมื่อ ปปง.สั่งอายัดทรัพย์สิน บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด บอสพอล - บอสหมอเอก - บอสกันต์ และ น.ส.ฐิตตญา จำนวน 11 รายการ รวมราคาประเมินทั้งสิ้นประมาณ 125 ล้านบาท พร้อมดอกผลไว้ชั่วคราว
จากนั้นในวันที่ 16 ต.ค.67 ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการ “หนุมานถล่มกรุงดิไอคอน” ขอศาลอาญาอนุมัติออกหมายจับทั้งหมด 18 หมายจับ ในคดีดิไอคอนกรุ๊ป ฐานความผิด 2 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ร่วมกันนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จฯ” ประกอบด้วย
1. นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล
2. น.ส.ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร หรือ บอสตัน
3. นายฐานานนท์ หิรัญไชยวรรณ หรือ บอสหมอเอก
4. น.ส.นัฐปสรณ์ ฉัตรธนสรณ์ บอสสวย
5. น.ส.ญาสิกัญจณ์ เอกชิสนุพงศ์ บอสโซดา
6. นายนันท์ธรัฐ เชาวนปรีชา บอสโอม
7. นายธวิณทร์ภัส ภูพัฒนรินทร์ บอสวิน
8. นายหัสยานนท์ เอกชิสนุพงศ์ บอสป๊อบ
9. นายยุรนันท์ ภมรมนตรี บอสแซม
10. น.ส.พีชญา วัฒนามนตรี หรือ บอสมิน
11. นางวิไลลักษณ์ เจ็งสุวรรณ บอสจอย
12. นายธนะโรจน์ ธิติจริยาวัชร์ หรือ บอสอ๊อฟ
13. นายกันต์ กันตถาวร หรือ บอสกันต์
14. นายจิรวัฒน์ แสงภักดี หรือ โค้ชแล็ป
15. นายเชษฐ์ณภัฎ อภิพัฒนากานต์ หรือ บอสทอมมี่
16. น.ส.เสาวภา วงษ์สาขา หรือ บอสอูมมี่
17. น.ส.กนกธร ปูรณะสุคนธ์ หรือ บอสแม่หญิง
18. นายกลด เศรษฐนันท์ หรือ บอสปีเตอร์
โดยตำรวจจับกุม “บอสพอล” ระหว่างเข้าให้ปากคำที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) มาสอบสวนที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง รวมถึงติดตามจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดมาสอบสวนได้ภายในวันดังกล่าว
พร้อมตรวจยึดทรัพย์สินของผู้ต้องหาทั้ง 18 คน ที่เชื่อว่าน่าจะได้มาจากการกระทำผิด อาทิ รถหรูจำนวน 23 คัน ทองคำ กระเป๋าเสื้อผ้าแบรนด์เนม 121 รายการ อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ 39 ชิ้น โฉนดที่ดิน ทองคำ และ ของมีค่าอื่น ๆ อีกหลายรายการ รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ตรวจยึดกว่า 219,714,889 บาท
และในวันเดียวกัน กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ (ดีเอสไอ) ยังเข้าตรวจอายัดที่ดิน 68 ไร่ ริมถนนมอเตอร์เวย์ อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ของบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป เพื่อนำไปตรวจสอบ เนื่องจากเข้าข่ายการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และกู้เงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน
ซึ่งตลอดทั้งคืนวันที่ 16 ต.ค. ตำรวจสอบสวนกลาง โดย ปคบ.ได้ทำการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้งคืน ก่อนคุมตัวบอสทั้ง 17 คน ยกเว้น “บอสพอล” ที่ขอให้การเพิ่ม ส่งศาลฝากขังในวันรุ่งขึ้น (17 ต.ค.) โดยศาล อาญาไม่ให้ประกัน บอส ดิไอคอนกรุ๊ป กันต์-มิน-เเซม ส่วนผู้ต้องหาอีก 14 ราย ไม่ได้ยื่นคำร้อง เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัวส่งเรือนจำทันที ก่อนที่จะส่งตัว "บอสพอล" ตามไปหลังเสร็จสิ้นการสอบสวนในวันถัดไป
ขณะที่ในส่วนของคดีความยังไม่สิ้นสุด แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างออกมาขยับ โดยผู้เสียหายที่ร่วมลงทุนกับบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป ยังคงเข้าแจ้งความที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางอย่างต่อเนื่อง ยอดรวมแจ้งความกว่า 1,700 คน มูลค่าความเสียหายสูงกว่า 600 ล้านบาท ส่วน DSI ตรวจค้นบริษัทรับฝากข้อมูลเซิร์ฟเวอร์-ที่ทำการโปรแกรมเมอร์เว็บไซต์ดิไอคอนฯ พบข้อมูลจำนวนมาก
และจากการที่คดี “ดิไอคอนกรุ๊ป” เป็นคดีดังในขณะนั้น ทำให้มีผู้ที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องต่างออกมาให้ข้อมูลด้านต่างๆ อาทิ ทางสายไหมต้องรอด มีการออกแฉเส้นทางการเงินผิดปกติกว่า 8,223 ล้าน ของ "โค้ชแล็ป" ผู้ต้องหาดิไอคอน พบโอนคริปโตออกไปก่อนโดนจับเพียง 1 ชม. ซึ่งซึ่งประเด็นเกี่ยวกับเงินคริปโตนี้ จะส่งผลต่อไปในอนาคตกับ “เอก นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ” ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด โดยสามาถติดตามได้ในตอนต่อไป กับมหากาพย์คดีดิไอคอนภาคสาม “บอสพอลไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
ทั้งนี้ในส่วนของการดำเนินคดีนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นตำรวจ และดีเอสไอ ต่างทำงานคู่ขนานเพื่อรวบรวมหลักฐานทำสำนวนส่งอัยการเพื่อสังฟ้องดำเนินคดีผู้ต้องที่อยู่ภายในเรือนภายในกรอบระยะเวลาการฝากขัง รวมถึงมีกระแสข่าวเตรียมออกหมายจับในล็อตถัดๆ ไป
ต่อมาในวันที่ 28 ต.ค.67 ตำรวจสอบสวนกลาง ได้มีการโอนสำนวนคดีในส่วนของบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป กับ บอสทั้ง 18 คน ให้กับ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กลายเป็นคดีพิเศษ คือคดีฟอกเงิน เนื่องจากเข้าตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ทางดีเอสไอ เตรียมพิจารณาแจ้งข้อหาเพิ่มเติมความผิดตาม พ.ร.บ.ฟอกเงิน โดยดีเอสไอจะต้องทำคดีต่อ โดยมีการสอบพยานหลักฐานเพิ่มเติม รวมถึงเข้าสอบผู้ต้องหาในเรือนจำ โดยทำงานร่วมกับทางตำรวจ ในการทำสำนวนรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อเอาผิดผู้ต้องหา
ขณะที่ความเคลื่อนไหวหลักของผู้ต้องส่วน ที่ส่วนใหญ่จะเป็นบอสพอล นั้น จะเคลื่อนไหวผ่าน "ทนายวิฑูรย์ เก่งงาน" ทนายความของบอสพอล ในการออกมาให้ข่าวหรือติดต่อกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
ต่อมาวันที่ 11 พ.ย.67 คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เดินทางเข้าแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม 18 บอส และ 1 นิติบุคคล ผู้ต้องหาในคดี "ดิไอคอนกรุ๊ป" ที่เรือนจำ ในข้อหา พ.ร.ก.กู้ยืมเงินว่าด้วยการฉ้อโกงประชาชน หรือ ข้อหาแชร์ลูกโซ่ และความผิดตาม พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง ทำให้การฝากขังของผู้ต้องเพิ่มเป็น 7 ผัด หรือ 84 วัน โดย คณะพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ได้วางกรอบไทม์ไลน์การทำงานว่า จะสรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการก่อนครบฝากขังผัดที่ 7 หรือภายในวันที่ 23 ธ.ค. 67
โดยในวันที่ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมานั้น ดีเอสไอได้แถลงสรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการ ระบุว่า คดีดิไอคอนกรุ๊ปนั้น มีพยานเอกสารถึง 348,209 แผ่น พยานบุคคล 8,071 ปาก มีผู้เสียหายจำนวน 7,875 ราย มูลค่าความเสียหาย จำนวน 1,644 ล้านบาท ปรากฏตัวผู้ต้องหา จำนวน 19 ราย ซึ่งเป็นนิติบุคคลจำนวน 1 ราย คือ บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด และผู้ต้องหาซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา จำนวน 18 ราย ได้แก่ นายนายวรัตน์พล หรือบอสพอล กับพวก ได้ดำเนินการอายัดทรัพย์สินในคดีฟอกเงิน จำนวน 747,640,000 ล้านบาท อาทิเช่น อาคารและที่ดิน
มีมติเห็นควรเสนอให้พนักงานอัยการสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 19 ราย ใน 5 ความผิดฐาน
(1) “ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน (แชร์ลูกโซ่)” อันเป็นความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
(2) “ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงในลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจโดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าวซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น”
(3) “ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต” อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ.2545
(4) "ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน
(5) “ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
ขณะที่ทางฝั่ง อธ.อัยการคดีพิเศษ ที่รับสำนวนคดี “ดิไอคอน” ยืนยันว่าสั่งคดีตามกรอบฝากขัง ที่เหลือระยะเวลาฝากขังอีก 1 ฝากเศษๆ ไม่เกิน 20 วัน ไม่เว้นแม้แต่ช่วงปีใหม่ ซึ่งเบื้องต้นทางอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ จะนัดฟังคำสั่งภายในวันที่ 8 มกราคม 2568 อีกครั้ง
ดังนั้นนส่วนของ "คดีดิไอคอนกรุ๊ป" จึงยังต้องติดตามกันต่อในปี 2568 นี้ว่า จะเป็นอย่างไรต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก :
NationTV
komchadluek
posttoday
รายการโหนกระแส
หนุ่ม กรรชัย
วิกิพีเดีย