วันนี้ (22 ส.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือ ตำรวจไซเบอร์ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินทางเพื่อยื่นหนังสือถึง พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผบช.สอท. เพื่อกล่าวโทษดำเนินคดีอาญากับบริษัท Primaya และบุคคลอื่น ๆ ซึ่งใช้ข้อความอันเป็นเท็จอ้างว่าลงทุน 6,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ได้เงิน 15 ล้านบาท ตามความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และข้อหาฉ้อโกงประชาชน ตามที่ลงชักจูงให้ประชาชนร่วมลงทุนในโซเชียล โดยมี พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ เที่ยงกมล รอง ผบก.สอท.2 เป็นผู้รับเรื่องแทน
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า วันนี้มาร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และฉ้อโกงประชาชน กับบริษัท Primaya ที่ร่วมกับเด็กคนหนึ่งในการชักชวนให้ลงทุน โดยมีการโพสต์ว่าลงทุน 6,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน และได้เงิน 15 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้ข้อมูลอันเป็นเท็จทำให้คนหลงเชื่อ
นอกจากนี้ บริษัทดังกล่าวยังเคยถูก กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ดำเนินคดีในเรื่องการขายยาลดน้ำหนักที่มีการใส่สารต้องห้าม ซึ่งทำให้ผู้บริโภคไม่อยากอาหาร น้ำหนักจึงลด แต่ทางบริษัทอ้างว่า ทางโรงงานเป็นผู้ที่ใส่สารดังกล่าวลงไป จึงต้องการป้องกันไว้ก่อนเพราะไม่ให้กลายเป็นไฟลามทุ่ง
นายอัจฉริยะ กล่าวอีกว่า บริษัทดังกล่าวมีการจดทะเบียนเมื่อปี 2560 ต่อมาปี 2564 มีกำไร 8 ล้านบาท ขณะที่เด็กปั้นที่ออกมาโปรโมท ก็ไม่มีการแสดงข้อเท็จจริงให้เห็น เช่น หลักฐานทางการเงิน อีกทั้งรถหรูนั้น ทางโชว์รูมรถก็ได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้ซื้อจริง เพราะขนาดบริษัทเองยังมีกำไร 8 ล้านบาท เด็กปั้นจะมีกำไรถึง 15 ล้านบาทได้อย่างไร วันนี้จึงนำหลักฐานเป็นคลิปวิดิโอ และการทำหน้าม้ามาเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ โดยลักษณะของการขายตรงนั้น มักจะใช้เงินมาล่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ลงทุน แต่อันที่จริงแล้วคนที่รวยที่สุดคือเจ้าของ
ด้าน พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ กล่าวว่า จากนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายจะนำข้อเท็จจริงมาวิเคราะห์และเสนอให้ผู้บังคับบัญชาสั่งการต่อไป โดยเมื่อมีการร้องทุกข์ จะนำข้อเท็จจริงมาตรวจสอบว่า มีการทำผิดกฎหมายหรือไม่อย่างไร ซึ่งการลงทุนธุรกิจที่สร้างกำไรมหาศาลมากมายนั้น ไม่มีจริงในโลกออนไลน์ มีแต่เพียงกำไรตามหลักเศรษฐกิจ งานที่ง่ายและได้เงินมากนั้นไม่มีอยู่จริง ขอประชาชนอย่าตกเป็นเหยื่อ อย่างไรก็ตามจะได้สืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงต่อไป