svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

จวกยับครูหูเบาด่าเด็ก นร.จนไม่กล้าไปโรงเรียน

29 กรกฎาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ดราม่า ชาวเน็ตจวกยับครูประจำชั้นหูเบา ฟังความข้างเดียว ด่าเด็กนักเรียนจนไม่กล้าไปโรงเรียน ขณะที่ครูติดต่อมาขอโทษทางครอบครัวแล้วยอมรรับว่าด่าเด็กจริงเพราะโมโห

28  กรกฎาคม  2565  ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้มีผู้ใช้เฟสบุ๊ครายหนึ่งได้โพสต์รูปภาพเด็กนักเรียนหญิงใส่ชุดเนตรนารีในลักษณะกำลังร้องไห้อยู่ที่โซฟา พร้อมระบุข้อความว่า”การที่คุณครูพูดกับนักเรียนแบบนี้มันถูกแล้วเหรอ?เมื่อวานน้องเราเลิกเรียนกลับมา น้องร้องไห้บอกว่าไม่อยากไปโรงเรียน แม่เลยถามว่าเป็นอะไร?น้องบอกว่า น้องเราเล่นถักเปียกับเพื่อนตอนพักเบรค แล้วตอนจะเข้าเรียน จึงบอกเพื่อนว่ามึงมาแกะเปียช่วยกูหน่อยเดี๋ยวครูจะด่า (เพราะ รร.ให้มัดรวบผม ไม่ให้ถักเปียไปรร.) แต่มีคนได้ยินผิดแล้วไปฟ้องครูว่าน้องเราพูดว่าเกลียดครู หลังจากนั้นครูเรียกน้องเราไปด่าว่า”ต่อไปนี้เธอกับฉันไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกัน ไม่ต้องมารู้จักกัน เจอกันที่ไหนไม่ต้องมาทัก ตะคอกใส่น้องเรา”

จวกยับครูหูเบาด่าเด็ก นร.จนไม่กล้าไปโรงเรียน

น้องเราพยายามอธิบายให้ฟังว่าเป็นยังไง ครูกลับมาว่าเธอหยุดพูดไปเลยฉันไม่อยากฟังเธอ น้องเราจึงหนีไปนั่งร้องไห้ในห้องน้ำ พอกลับไปห้องเพื่อนห้องอื่นที่ได้ยินครูด่าน้องจึงมาล้อเยาะเย้ยน้องเราว่าปากหมา ตอนนี้น้องเราจิตใจย่ำแย่ไม่ยอมไปรร.อยากย้ายรร. ขอคำตอบจากครูด้วยค่ะว่าทำไมจึงพูดกับเด็กอายุแค่นี้แบบนี้น้องยังไม่เข้มแข็งพอที่จะได้รับคำพูดจากครูแบบนี้และไม่ฟังเหตุผลเด็กเลยปล.แม่ได้ทำการประชุมสายกับเพื่อนน้องในห้องเรียนแล้วว่าน้องได้พูดแบบนั้นจริงไหม เพื่อนน้องบอกว่าไม่ได้พูดแบบนั้นค่ะ เพื่อนที่ไปฟ้องได้ยินผิด โรงเรียนจะรับผิดชอบยังไงคะ ตอนนี้น้องเราไม่ยอมไปรร.#โรงเรียนประถมแห่งหนึ่งในหล่มเก่าจังหวัดเพชรบูรณ์

 

หลังจากโพสต์ดังกล่าวถูกโพสต์ออกไปได้มีคนเข้ากดไลด์ กดแชร์ และวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นจำนวนมาก ว่าคนที่เป็นครูไม่สมควรที่จะพูดออกมาแบบนี้กับเด็กนักเรียน เช่น เด็กที่เป็นคนกลางที่ไปพูดกับครู ต้องการอะไร เอาคนนั้นมาคุย พร้อมกันทั้ง3คน,คุณครูท่านนี้ตอนนี้จะคิดได้ยังน้อ ว่าจะออกมาตอบสังคมยังไงดี..,กล้าๆหน่อยชิคะเอาให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลยคะฟังความข้างเดียวไม่ดีมั้งค่ะ,ครูก็อะไรฟังความข้างเดียวมาตลอดยุคไหนแล้ว,ครูงี่เง่าครับ เอาอารมตัวเองเป็นที่ตั้ง,ครูต้องมีเหตุผล ในการรับฟัง อย่าใช้อารมณ์กับเด็ก,คนที่ฟ้องต้องรับผิดชอบนะคะ ส่วนคุณครูฟังความข้างเดียว ควรรับผิดชอบกับคำ,แม่ง.แย่มาก ทำไมฟังความข้างเดียว ละที่สำคัญการควบคุมอารมณ์คือแบบ!! นี่หรือแม่พิมพ์,ครูงี่เง่าใช้อารมณ์ตัวเองเป็นที่ตั้ง

 

ต่อมาผู้สื่อข่าวจึงได้ติดต่อไปยังเจ้าของเฟสบุ๊คดังกล่าว ซึ่งเป็นพี่สาวของเด็กนักเรียนคนดังกล่าว เปิดเผยว่า น้องสาวกำลังเรียนอยู่ชั้น ป.5ของโรงเรียนแห่งหนึ่งใน ต.หล่มเก่า อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ โดยด้านพี่สาว บอกว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเที่ยง ของเมื่อวาน (27กค.65)ที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์นี้ส่งผลทำให้น้องสาวไม่อยากที่จะไปโรงเรียน เนื่องจากถูกเพื่อนๆ บลูลี่ สำหรับตนมองว่าครูน่าจะมีเหตุผลมากกว่านี้ ควรฟังคำพูดของเด็กด้วย หรือสอบถามนักเรียนคนอื่นๆ ด้วยที่อยู่ในเหตุการณ์ ไม่ใช่ใช้อารมณ์มาพูดกับเด็กแบบนี้

 

ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังบ้านผู้ปกครองเด็กคนดังกล่าว พบกับแม่ของเด็กหญิงบี(นามสมมุติ) เปิดเผยว่า เมื่อวานพอน้องกลับมาจากโรงเรียน ก็จอดรถแล้ววิ่งไปหลังบ้านร้องไห้ ตนจึงรีบเดินตามไปดูและถามว่าเป็นอะไรทำไมถึงร้องไห้ น้องจึงบอกว่าโดนครูด่ามา ตนจึงถามว่าน้องไปทำอะไรผิดครูถึงด่า น้องบอกว่าหนูมัดผมเล่นอยู่กับเพื่อน แล้วคราวนี้แกะออกไม่ได้ เลยบอกเพื่อนมาช่วยแกะออกให้เดี๋ยวครูจะด่าเอา แล้วบังเอิญมีเด็กนักเรียนชายคนหนึ่งวิ่งผ่านมาได้ยิน แล้วไปฟ้องครูว่า ครูครับผมได้ยินเด็กหญิงบีบอกว่าเกลียดครู แล้วครูก็ถามว่าครูคนไหน เด็กชายเอ(นามสมมุติ) ก็ตอบกลับไปว่า เกลียดคุณครูนั่นแหละ โดยเด็กชายเอ ให้เพื่อนอีก2คนมาช่วยเป็นพยานจากนั้นครูก็เรียกเด็กหญิงบี ไปด่า โดยที่ไม่ฟังน้องเลย ทั้งๆ ที่น้องมีพยานที่แกะผมให้น้องถึง2คน แต่ฟังความข้างเดียว ขณะเดี๋ยวกันตนก็ได้โทรศัพท์ไปถามเพื่อนเด็กชายเอ ที่ไปเป็นพยานให้ โดนเพื่อนเด็กชายเอ ทั้ง2คน บอกว่า ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แต่ที่ทำเป็นเพราะกลัวว่าครูจะด่าเด็กชายเอ

จวกยับครูหูเบาด่าเด็ก นร.จนไม่กล้าไปโรงเรียน

 

ต่อมาครูคนดังกล่าว ได้ติดต่อมาขอโทษ และยอมรับว่าพูดจริง เพราะครูโมโห ซึ่งตนไม่เข้าใจว่าเป็นครูถึงมาพูดแบบนี้กับเด็ก แล้วลูกก็ไม่กล้าที่จะไปโรงเรียน เพราะกลัวเพื่อนล้อทั้งๆ ที่ตนไม่ได้พูด และกลัวที่ต้องไปเจอครูคนดังกล่าวยังไงก็หลบไม่พ้นเพราะครูคนดังกล่าวเป็นครูประจำชั้นด้วย ซึ่งไม่รู้ว่าครูจะแสดงปฏิกิริยาอย่างไร แต่ทางครูคนดังกล่าว ก็ได้รับปากว่าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้อีก ซึ่งตนก็ได้ขอร้องคุณครูด้วยว่าอย่าให้มีเหตุการณ์แบบนี้อีกเลย เพราะน้องมีโรคประจำตัวคือโรคชักเข้าสู่สภาวะโรคซึมเศร้า ต้องกินยาเป็นประจำ

 

ยอมรับว่าตนรู้สึกโมโหครูคนดังกล่าวมาก ที่มาพูดแบบนี้กับน้อง เหมือนไปกระตุ้นให้น้องเครียด ซึ่งตอนนี้ตนก็รู้สึกวิตกกังวล และไม่กล้าทิ้งน้องให้อยู่ลำพัง เพราะกลัวว่าน้องจะเครียด และอาจเกิดอาการชักเกร็งขึ้นมาได้แต่อย่างไรก็ตาม วันจันทร์นี้ ทางด้านผู้อำนวยโรงเรียนและคณะผู้บริหาร พร้อมด้วยคุณครูคนดังกล่าว จะเดินทางเข้ามาพูดคุยเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง และมารับน้องไปโรงเรียน ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าน้องจะยอมไปโรงเรียนหรือไม่

 

ภาพ/ข่าว: อารีย์  สีแก้ว  สำนักข่าวเนชั่น จ.เพชรบูรณ์

logoline