"จตุพร-ทนายนกเขา"บุกทำเนียบทวงถามนายกฯวิธีแก้ปัญหาพลังงาน

28 มิถุนายน 2565 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมด้วยนายนิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา และกลุ่มประชาชนคนไทย ได้มาติดตามทวงถามถึงหนังสือข้อเรียกร้องถึงนายกรัฐมนตรี ในการแก้ไขปรับปรุงโครงสร้างราคาพลังงาน เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ที่ผ่านมา ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล ผ่านนายมงคลชัย สมอุดร รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี หลังได้รับมอบหนังสือจากคณะหลอมรวมประชาชน 

โดยนายนิติธร กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นที่ทางเลขาฯ สมช.ได้กล่าวนั้น คือ สินค้าราคาแพง ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งอ้างอิงเฉพาะผลกระทบจากโควิด-19 และกรณีปัญหารัสเซีย-ยูเครน เป็นเพียงการกล่าวอ้างที่ปกปิดความเน่าของระบบเศรษฐกิจ และการบริหารราชการของรัฐบาล เมื่อเลขาฯ สมช. เข้ามา ต้องไปดูการทำหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี การทำหน้าที่ของครม. โครงสร้างบริษัทพลังงาน หากเป็นไปโดยสุจริตโปร่งใส ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน สิ่งต่างๆเหล่านี้จะไม่เกิดปัญหาใดๆทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม วันนี้ (28มิ.ย.) สถานการณ์ที่เกิดปัญหามาจากการบริหารสภาพธุรกิจและเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกันในรายละเอียดของ สมช. กำลังพูดถึงการเตรียมการที่จะออกมาตรการใดๆตามความมั่นคงแห่งชาติ หากออกมาตรการมาจะเป็นการซ้ำเติม ฉะนั้น สมช. กรุณาใช้อำนาจอย่างจำกัด รัฐบาลต้องบริหารประเทศด้วยรัฐธรรมนูญ หากนำพ.ร.บ.ความมั่นคงมาใช้เท่ากับว่ารัฐกำลังปกปิดไม่ให้มีการตรวจสอบ

"สถานการณ์ที่กำลังจะเกิดในวันข้างหน้านี้ รัฐไม่มีศักยภาพเพียงพอ กองทัพทั้งกองทัพก็ไม่สามารถรองรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต วันนี้ต้องเปิดทางให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบเสนอความคิดเห็นคิด และเร่งทำตามที่คณะหลอมรวมประชาชนยื่นหนังสือ" นายนิติธร กล่าว

ขณะที่ นายจตุพร กล่าวว่า อยากเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรี ที่กล้าเอื้อกับกลุ่มทุนพลังงาน ปล่อยละเลยให้มีการอิงราคาสมมติตลาดน้ำมันสิวคโปร์ กรณีน้ำมันและก๊าซเป็นการปล้นเชิงนโยบาย นายกฯต้องกล้าเด็ดขาดกับกลุ่มทุนพลังงาน กรณีโรงกลั่น 4 โรง ของ ปตท. หากนายกฯมีประสิทธิภาพภายใน 1 ชม. สามารถบริหารจัดการได้อย่างครบถ้วนแม้ว่าจะมีกรณีผู้ถือหุ้นก็ตาม ไม่ทราบว่านายกฯเหตุใดต้องเกรงใจกลุ่มทุนน้ำมัน อย่ากล่าวอ้างเรื่องสงครามรัสเซีย-ยูเครน เป็นเพียงปัจจัยหนึ่ง

อนึ่ง คณะหลอมรวมประชาชนได้พิจารณาข้อเรียกร้อง 9 ข้อ ของกลุ่มรวมประชาชนพร้อมกับมาตรการช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบของรัฐบาล มีความเห็นว่า

1.ยังมิได้มีการดำเนินการใดที่สมบูรณ์ตามข้อเรียกร้อง

2.การคงค่าการตลาดน้ำมันดีเซลไม่เกิน 1.40 บาท/ลิตร เป็นการหยิบยกประกาศเดิมที่เคยประกาศไว้แล้ว และมาตรการครั้งนี้ไม่ได้กล่าวถึงค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน ควรมีมาตรการคงค่าการตลาดน้ำมันเบนซินต้องไม่เกิน 1.85 บาท/ลิตร ทันที

3.การใช้งบประมาณในมาตรการช่วยเหลือเป็นการใช้งบของรัฐที่มาจากการเก็บภาษีภาคประชาชนและธุรกิจ และเงินจากการกู้ยืมรวมอยู่ในหนี้สาธารณะ

4.ปัญหาพลังงานแพงเกิดจาก 1)กฎหมายกำหนดให้ปิโตเลียมเป็นของรัฐ สวนทางกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2)การบริหารกิจการพลังงาน 3)การกำหนดราคาพลังงาน 4)บุคลากรไม้มีตัวแทนภาคประชาชนอย่างแท้จริง 5)ผู้บริหารระดับนโยบาย สั่งการบางคนได้รับผลประโยชน์ทับซ้อน 6)กิจการพลังงานปัจจุบันเป็นองค์กรอยู่เหนือรัฐบาล รัฐสภา

5.มาตรการความช่วยเหลือฯ เป็นลักษณะขอความร่วมมือมากกว่าสั่งการให้ปฏับัติทันที

6.กิจการพลังงานหน่วยงานรัฐเป็นผู้ถือหุ้นอยู่มากกว่าครึ่ง จึงไม่มีอุปสรรคใดที่จะช่วยเหลือประเทศชาติ

7.นายกฯมอบหมายสมช.ดูแลเรื่องอาหารและพลังงาน 1)ปัญหาเงินเฟ้อ เศรษฐกิจชะลอตัวและถดถอย ประขาชน 90% ไม่ได้เป็นผู้ก่อ 2)การบริหารงานของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้ปฏิรูปประเทศให้มีผลสัมฤทธิเป็นรูปธรรม 3)การประกอบธุรกิจต่างๆในประเทศ มีลักษณะกึ่งผูกขาด จนทำลายหลายอาชีพของประชาชน 4)ธุรกิจพลังงาน มีลักษณะก่อให้เกิดประโยชน์ทับซ้อน 5)สนธิสัญญาไทย-สหรัฐฯ เป็นสัญญาที่ประเทศไทยเสียเปรียบอย่างมาก 6)ผลจากการลงนามข้อตกลงอินโด-แปซิฟิค ก่อให้เกิดความวิตกกังวลต่อมิตรประเทศของไทย