19 มิถุนายน 2565 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ผู้ว่าฯสัญจร ครั้งแรก ที่เขตคลองเตย เริ่มจาก ปลูกต้นไม้ ที่ สวนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จย่า ศูนย์การเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อม เขตคลองเตย เพื่อร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในนโยบายปลูกต้นไม้ล้านต้น สร้างพื้นที่สีเขียวและกำแพงกรองฝุ่นทั่วกรุง
ระหว่างเดินชมศูนย์การเรียนรู้ นายชัชชาติ ได้ลองกินผักขึ้นฉ่ายเด็ดสดๆจากต้นกินโชว์สื่อมวลชนแล้วบอกว่า “กินได้ ปลอดสารพิษ” รวมถึงกินน้ำสมุนไพรที่จากศูนย์การเรียนรู้ฯ เช่น ใบเตย อัญชัน โดยผู่ว่าฯกทม.เลือกดื่มน้ำใบเตย พร้อมกันนี้ได้ทำการหว่านข้าวลงนาข้าวจำลอง ที่ทางศูนย์การเรียนรู้ฯ ได้จัดทำไว้เพื่อให้ประชาชนที่มาพักผ่อนได้ศึกษา
จากนั้นได้เข้าประชุมร่วมกับสำนักงานเขตคลองเตย เพื่อรับฟังปัญหา โดย ผู้ว่าฯ กทม. ได้กล่าวในที่ประชุมกับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของสำนักงานเขตคลองเตย ว่า สิ่งที่เน้นย้ำคือ ความโปร่งใส และใช้ภาษีให้เต็มที่ หากพบว่ามีใครนำชื่อทีมงาน อาจารย์ชัชชาติไปอ้าง ให้แจ้งตำรวจได้เลย เพราะถือเป็นการทุจริต ทีมเราไม่มีการไปอ้างทุจริตคอรัปชันแน่นอน จึงอยากฝากทุกคน ว่าจะต้องไม่มีความอดทนกับเรื่องนี้และอย่าให้คนเอาชื่อไปอ้าง
ที่ตนเองชอบพูดคือ เรื่องหินก้อนใหญ่ ที่จะเอาอะไรใส่ก่อนใน 3 อย่าง ดังนั้นสิ่งแรกคือ เรื่องทุจริตคอรัปชัน อย่างที่สองคือ ประสิทธิภาพในการให้บริการ ต้องทำให้จบและทำให้เร็ว อย่างที่ผ่านมาใช้ระบบทราฟฟี่ฟองดู และการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพื่อให้เกิดการตอบสนองที่เร็วขึ้น โดยมีส่วนกลางของ กทม.เข้ามาคอยดูแล ส่วนอย่างที่สามคือ people centric โดยจะต้องเน้นคนเป็นหลัก สำนักงานเขตจะต้อง ‘หันหลังให้ผู้ว่าฯ และหันหน้าให้ประชาชน’ ซึ่งหากทำงานแบบนี้ตนเองก็จะเป็นผู้หนุนหลังให้ และพร้อมจะยืนอยู่ข้างทุกคนในการทำงาน
นายชัชชาติ ได้ให้สัมภาษณ์ ก่อนการประชุมว่า นโยบายผู้ว่าสัญจร คือนโยบายที่ลงมารับฟังปัญหาเร่งด่วนของทุกเขตทั่วกทม. โดยใช้คลองเตยเป็นเขตแรก เนื่องจากเป็นชุมชนแออัดที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ และมีปัญหามาก เพื่อขับเคลื่อนเป็นต้นแบบการแก้ไขไปยังชุมชนอื่น ซึ่งขณะนี้ มีเรื่องรับแจ้งมากกว่า 20,000 เรื่องและสามารถแก้ไขไปแล้วกว่า 3,000 เรื่อง พร้อมยอมรับว่า อาจจะมีบางเรื่องที่กทม.ขับเคลื่อนเองไม่ได้เนื่องจากไม่ได้รับผิดชอบโดยตรง ก็จะดำเนินการประสานงานเพื่อร่วมแก้ไขปัญหา
ส่วนพื้นที่ของสำนักงานเขตคลองเตย ได้มีผู้ร้องเรียนกว่า 900 เรื่อง และเขตรับเรื่องแล้วกว่า 600 เรื่องแก้ไขแล้วเสร็จ 142 เรื่อง โดยการนำระบบทราฟฟี่ฟองดูร์ (Traffy Fondue)เข้ามารวบรวมปัญหา ถือเป็นมิติใหม่ที่ไม่ต้องใช้เงินแม้แต่บาทเดียว อีกทั้งยังให้มีประชาชนมีอำนาจในการตรวจสอบ ซึ่งหลายเรื่องเป็นปัญหาละเอียดอ่อน ที่สะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจที่รุนแรงขึ้น อาทิ ปัญหาคนไร้บ้านและประชาชนไม่มีรายได้
ทั้งนี้ นายชัชชาติ ได้สั่งให้กทม.สำรวจปัญหาหมวกกันน็อกของเด็กหลังพบว่า หลังจากเปิดเทอม เด็กส่วนใหญ่โดยสารรถจักรยานยนต์และไม่สวมใส่หมวกกันน็อก ซึ่งจากการสำรวจมีความต้องการกว่า 120,000 ใบ จากเด็ก 270,000 คน ซึ่งในขั้นต้น กทม.อาจจะขอความร่วมมือจากภาคเอกชนที่สนใจทำCSR ก่อนเพราะยังไม่อยากใช้งบประมาณ เพื่อให้เยาวชนของชาติ มีความปลอดภัย เช่นเดียวกับกทม.จะเป็นตัวกลางสร้างแพลตฟอร์มเสริมสร้างความรู้ให้กับประชาชน ช่วยให้เกิดการจ้างงาน ซึ่งอาจจะมีการเทรนนิ่ง ให้เหมาะสมกับฝีมือ ให้รู้ว่าธุรกิจต้องการอะไรออกใบเซอร์รับรองฝีมือและมีพฤติกรรมที่ดี