วันนี้ (15 มิ.ย.65) ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ใช้เวลา 5 ชั่วโมงในการพิจารณา ร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือร่างพ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ตามที่นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นผู้เสนอ ,ร่างพ.ร.บ.คู่ชีวิต ตามที่ครม.เป็นผู้เสนอ ,ร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามที่ครม.เป็นผู้เสนอ และ ร่างพ.ร.บ.คู่ชีวิต ตามที่นายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้เสนอ ซึ่งการอภิปรายส่วนใหญ่ของส.ส.พรรคฝ่ายค้านสนับสนุนร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมของพรรคก้าวไกล และไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายที่ ครม. และพรรคประชาธิปัตย์เสนอ ขณะที่ส.ส.พรรครัฐบาลให้ความเห็นในทิศทางตรงกันข้าม แม้จะยอมรับกับการให้สิทธิบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศมีสิทธิตั้งสถาบันครอบครัว แต่คัดค้านร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม
อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของการอภิปราย และเป็นการทำหน้าที่ของนายศุภชัย โพธิสุ รองประธานสภาฯ คนที่สอง พบว่านายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ที่เป็นผู้อภิปรายคนสุดท้ายของฝ่ายค้าน ได้ขออภิปรายพร้อมเปิดคลิปวีดีโอที่ระบุว่าสัมภาษณ์ผู้ชุมนุมหน้ารัฐสภา เพื่อให้ส.ส.ฟังเสียงของประชาชน เนื่องจากทราบว่ามติของวิปรัฐบาลจะลงมติไม่รับหลักการ แต่เมื่อไม่ได้รับอนุญาตจากประธาน ทำให้นายณัฐพงษ์ต้องพูดด้วยเสียงสั่นเครือและน้ำตาคลอเบ้า
“ผมเป็นส.ส.สมัยแรก มองว่า ระบบสภาที่ควบคุมด้วยวิป จะผ่านกฎหายเพื่อประชาชนได้จริงหรือไม่ ผมไม่คิดว่า สมรสเท่าเทียมจะล้มด้วยมติวิปรัฐบาล ผมจึงไปอัดคลิปประชาชนเพื่อมาเปิดในสภาฯ แต่ประธานไม่อนุญาต ผมเคารพ ทั้งนี้ขอร้องสมาชิกวันนี้หากเลือกด้วยหลักเหตุผล ยึดประชาชน ไม่มีใครมองว่าเป็นความพ่ายแพ้ของรัฐบาล เพราะเป็นชัยชนะของประชาชน" นายณัฐพงษ์ กล่าว
จากนั้น เป็นการอภิปรายสรุป โดยนายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่อภิปรายพร้อมน้ำตาคลอเบ้าเช่นกัน
"หากสภาฯ รับหลักการร่างกฎหมาย 3 ฉบับ ถือว่าใจกว้าง และเป็นชัยชนะของประชาชนไม่ใช่ของพรรคใด ทั้งนี้ น้ำตาที่ไหลไม่ใช่ของธัญ แต่เป็นน้ำตาประชาชนที่รอ ส.ส.โหวต ขอฝากว่าสมรสเท่าเทียมคือกระดุมเม็ดแรกที่จะกลัดเพื่อความเสมอภาค” นายธัญวัจน์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากสมาชิกอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง ก็ได้ลงมติวาระแรกเป็นรายร่าง โดยที่ประชุมสภาฯมีมติรับหลักการร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือร่างพ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ตามที่พรรคก้าวไกล เป็นผู้เสนอ ด้วยคะแนน 212 ต่อ 180 เสียง งดออกเสียง 12 เสียง ไม่ลงคะแนน 4 เสียง
ที่ประชุมสภาฯ ยังได้มีมติรับหลักการร่างพ.ร.บ.คู่ชีวิต ตามที่ ครม.เป็นผู้เสนอ ด้วยคะแนน 229 ต่อ 167 เสียง งดออกเสียง 6 ไม่ลงคะแนน 2 เสียง
ที่ประชุมสภาฯ ยังมีมติรับหลักการร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามที่ครม.เป็นผู้เสนอ ด้วยคะแนน 230 ต่อ 169 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง
และที่ประชุมมีมติรับหลักการร่างพ.ร.บ.คู่ชีวิต ตามที่นายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้เสนอ ด้วยคะแนน ต่อ 251 เสียง 124 งดออกเสียง 30 เสียง ไม่ลงคะแนน 2 เสียง
จากนั้น ที่ประชุมสภาฯตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือ ร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม และร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต โดยพิจารณารวมกันทุกฉบับ จำนวน 25 คน กำหนดแปรญัตติ 15 วัน แต่เมื่อ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เสนอให้พิจารณาร่างของ ครม.เป็นหลักในการพิจารณา ทำให้เกิดการทักท้วงจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่ระบุว่า แม้จะเป็นคณะกรรมาธิการฯเดียวกันทั้ง 4 ร่าง แต่เสนอให้แยกพิจารณาเป็น 2 กลุ่มร่าง พ.ร.บ. คือ 1.ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยใช้ร่างของพรรคก้าวไกลเป็นหลัก และ 2.ร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต ใช้ร่างของพรรคประชาธิปัตย์เป็นร่างหลัก ก่อนที่ประธานจะสั่งลงมติว่าจะใช้ร่างใดเป็นหลัก ในที่สุดที่ประชุมสภาฯมีมติให้ใช้ร่างทั้ง 2 ฉบับของ ครม.เป็นร่างหลักในการพิจารณา.
สำหรับ สาระสำคัญของ "พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม" การแก้ไขถ้อยคำในหลายมาตราที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติว่า “สามีและภรรยา” เป็น “คู่สมรส” มีการปรับถ้อยคำจากคำว่า “ชาย” หรือ “หญิง” เป็น “บุคคล” เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการสมรสระหว่างบุคคล
ข้อวิจารณ์หลักที่มีการแสดงความไม่เห็นด้วยต่อร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต คือ การไม่ครอบคลุมการเข้าถึงสวัสดิการ และสิทธิประโยชน์บางประการของคู่ชีวิต เช่น การลดหย่อนภาษีของคู่สมรส ไอลอว์ ชี้ว่า ร่างพ.ร.บ.คู่ชีวิต กำหนดถ้อยคำที่แยกออกมาเป็น “คู่ชีวิต” ทำให้คู่ชีวิตขาดโอกาส ในการเข้าถึงสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์ที่รัฐได้กำหนดไว้ให้คู่สมรส เช่น การลดหย่อนภาษีของคู่สมรสตามประมวลรัษฎากร
การแก้ไขรายละเอียดเกี่ยวกับการสมรส จากเดิมที่ระบุ ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา เป็น ความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา เป็น ทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส รวมถึงการแบ่งมรดกของผู้ตายที่มีคู่สมรส โดยได้ขอแก้ไขถ้อยคำในหลายมาตราที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติว่า สามีและภรรยา เป็น คู่สมรส
การหมั้น
ให้บุคคลเพศเดียวกัน หรือต่างเพศ ซึ่งมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์ ทำการหมั้นกันได้ เสนอกำหนดคำศัพท์ขึ้นใหม่เป็น ผู้หมั้น และ ผู้รับหมั้น แทนคำว่า ชาย และ หญิง แบบของการหมั้นให้ผู้หมั้นส่งมอบ หรือโอนทรัพย์สินให้กับผู้รับหมั้น ในส่วนของเรื่องสิทธิ และหน้าที่ ระหว่างคู่หมั้นยังคงตามหลักการเดิม เพียงแต่ปรับถ้อยคำเป็น ผู้หมั้น และ ผู้รับหมั้น
การรับบุตรบุญธรรมการรับมรดก กรณีผู้ตายมีคู่สมรส ต้องมีการแบ่งทรัพย์สิน ระหว่างผู้ตาย กับคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยให้นำเรื่อง ส่วนแบ่งทรัพย์สิน ระหว่างคู่สมรส และคู่สมรสที่ร้างกัน หรือแยกกันอยู่ โดยยังมิได้หย่ากันตามกฎหมาย ยังคงมีสิทธิโดยธรรม ในการสืบมรดก ซึ่งกันและกัน
การสมรสเท่าเทียม จะเป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลเพศเดียวกัน สามารถสมรสกันได้ตามกฎหมาย เพื่อให้สามารถได้รับสิทธิในการสมรส
สิทธิในการใช้นามสกุลสิทธิในการเซ็นยินยอมในการรักษาพยาบาล เช่น การผ่าตัด ให้ยา หรือหยุดรักษาในกรณีเร่งด่วน สิทธิในการรับรู้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการรักษา สิทธิในการกู้เงินซื้อบ้านและทำประกันชีวิตร่วมกันในฐานะคู่สมรส สิทธิทางมรดก คู่สมรสมีสิทธิรับมรดกก่อนทายาทลำดับอื่น สิทธิในการรับบุตรบุญธรรม สิทธิในการจัดการศพ เช่น การรับศพออกจากโรงพยาบาล การรับเงินสงเคราะห์ค่าทำศพ การขอออกใบมรณบัตร
สิทธิในการใช้สถานะสมรสเพื่อลดหย่อนภาษี สิทธิในการจัดการทรัพย์สินร่วมกัน สิทธิเข้าเยี่ยมในเรือนจำกรณีที่นักโทษป่วย ในฐานะคู่สมรส สิทธิในการขอวีซ่าเดินทาง กรณีบางประเทศต้องตรวจสอบยอดเงินในบัญชี คู่สมรสสามารถยื่นบัญชีของอีกฝ่ายเป็นหลักฐานได้