15 มิถุนายน 2565 รศ.ดร.ภญ.จิราพร ลิ้มปานานนท์ อดีตนายกสภาเภสัชกรรม และนักวิชาการผู้ขับเคลื่อนการเข้าถึงยาในประเทศไทย กล่าวว่า สภาเภสัชกรรม ร่วมกับศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ สนับสนุน โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดการความรู้เกี่ยวกับ กัญชา สรุปว่า กัญชามีประโยชน์ทางแพทย์ และสรรพคุณรักษาอาการต่าง ๆ หากใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ปัจจุบันเกิดความนิยมนำกัญชามาประกอบอาหารกันอย่างแพร่หลาย
ประเทศไทยมีข้อกำหนดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้กัญชา เพื่อควบคุมการบริโภคกัญชาอย่างเหมาะสม อาทิ ผู้ผลิตต้องได้รับใบอนุญาต สถานที่ผลิตต้องแยกออกจากการผลิตอาหารทั่วไป เพื่อป้องกันการปนเปื้อน นอกจากนี้ต้องระบุส่วนประกอบอย่างชัดเจน ดังนี้
รศ.ดร.ภญ.จิราพร กล่าวต่อว่า ที่ต้องเฝ้าระวังคือผู้บริโภคในแต่ละวัย มีสภาวะของร่างกายที่แตกต่างกัน อาทิ เด็กอายุ 8 เดือนถึง 12 ปี ที่รับประทานกัญชา จะมีอาการซึม เดินเซ หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ กล้ามเนื้อ อ่อนแรง ผู้ใหญ่วัย 18-25 ปี มีแนวโน้มบริโภคกัญชามากขึ้น ทำให้มีความสามารถในการจำและการรับรู้ลดลง บกพร่องในด้านความจำ เกิดความวิตกกังวล เกิดภาวะเฉื่อยเนือย หรือในกลุ่มผู้สูงอายุ จะพบอาการสมองเสื่อม เสี่ยงต่อการหกล้ม เนื่องจากเกิดภาวะความดันโลหิตต่ำ ภาวะหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ จึงต้องมีการควบคุมการใช้กัญชา ให้เหมาะสมทั้งปริมาณ รูปแบบการใช้ และช่วงวัย
รศ.ดร.ภญ.จิราพร กล่าวเสริมอีกว่า นอกจากอาหารแล้ว การใช้กัญชาเป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางก็เป็นที่นิยม โดยได้รับการอนุญาตในรูปแบบ สบู่ แชมพู ครีมนวดผม โฟมล้างหน้า ครีมบำรุงผิวหน้า โลชันบำรุงผิว ผงขัดผิว ลิปสติก
อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตจะต้องมีการระบุข้อความคำเตือน เช่นเดียวกับอาหาร อาทิ
“ ถึงแม้ว่าประโยชน์ของกัญชาสำหรับผิวหนังจากงานวิจัย เช่น ลดการอักเสบของผิว เร่งการสมานของบาดแผล บรรเทาอาการคัน ในโรคสะเก็ดเงิน กลาก ผื่นภูมิแพ้ และป้องกันการเกิดแผลเป็น ลดสิวอักเสบ แต่ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง จำเป็นต้องมีการควบคุม โดยเฉพาะการโฆษณา ”
รศ.ดร.ภญ.จิราพร กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมากฎหมายไทยที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการโฆษณาเครื่องสำอาง เรื่องการโฆษณาของพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อก่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้บริโภค จึงมีการห้ามใช้ข้อความที่อาจก่อให้เกิดผลเสีย กล่าวอ้างชื่อสารกัญชา-กัญชงว่าเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางในทางการโฆษณา ซึ่งจะต้องเป็นข้อความที่สื่อความหมายในขอบข่ายของการเป็นเครื่องสำอาง เช่น ใช้เพื่อความสะอาด ความสวยงาม หรือส่งเสริมให้เกิดความสวยงาม โดยไม่เกิดผลด้านอื่นแก่สุขภาพ หรือไม่กล่าวอ้างสรรพคุณทางยา อันจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับเครื่องสำอาง และต้องสอดคล้องกับประเภทเครื่องสำอางที่จดแจ้งไว้ และพิสูจน์ได้ว่าข้อความที่ใช้ในการโฆษณาเครื่องสำอาง ต้องไม่เป็นเท็จหรือเกินความจริง