เป็นเรื่องราวที่มีการถกเถียงกันก่อนหน้านี้ เมื่อเพจเฟซบุ๊ก “Drama-addict” เผยแพร่เรื่องราวของเด็กนักเรียนชั้น ป .4 ที่ต้องแบกกระเป๋านักเรียน น้ำหนักถึง 5 กิโลกรัม เพราะคุณครูไม่ยอมให้เก็บสมุด-หนังสือ ไว้ที่ห้องเรียน จนกลายเป็นประเด็นดราม่า เรื่องการปฏิรูปการศึกษานั้น
ล่าสุดเพจ “วันนั้นเมื่อฉันสอน” โพสต์ภาพข้อความที่สมาชิกโซเชียลท่านหนึ่ง ที่คาดว่าเป็นครูอาจารย์ เขียนถึงเรื่องดังกล่าวว่า “บางทีเด็กมันมักง่าย ไม่จัดตารางเรียนจ้า หอบมาหมดเลยจ้า ตรวจเจอวันนี้จ้า จริงๆ แล้ววันหนึ่งก็เรียนไม่เท่าไหร่ อาจมีวิชาปฏิบัติด้วยจ้า” พร้อมมีข้อความประกอบว่า “ฉันไม่ได้คิดว่ามันมีปัญหา เธอนั่นแหละที่เป็นปัญหา เมื่อพูดถึงกระเป๋าที่นักเรียนแบก”
ขณะที่ทางเพจ เขียนข้อความประกอบว่า ทุกวันนี้คนที่พูดเรื่องปัญหาการศึกษา กลับไม่ใช่คนในวงการศึกษาเสียแล้ว เพราะครูในระบบหมดแรงอ่อนล้าที่จะต่อสู้ เนื่องจากพูดไปก็เท่านั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ตอนนี้ภาคสังคมอย่างเพจ Drama-addict และสำนักข่าวอื่นๆ ได้มีการตีประเด็นต่างๆ ที่ทั้งผู้ใหญ่ และเด็กที่เคยผ่านระบบโรงเรียน ต้องเคยเห็นปัญหาเหล่านี แต่ไม่เคยพูดถึงเป็นวงกว้าง
เช่น น้ำหนักกระเป๋าที่นักเรียนแบก , ความจำเป็นของเครื่องแบบลูกเสือ , กฎแปลกๆ ในโรงเรียน ทรงผม สีถุงเท้า , ก็ต้องขอบคุณอย่างมากที่เป็นกระบอกเสียงแทน เพราะการศึกษาเป็นเรื่องของทุกคน ลำพังแค่ครูอย่างเดียวไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้ เพราะไม่มีใครฟังเสียงครูเลย ทุกคนจึงควรช่วยกันพูด
หากการศึกษาดีประเทศก็พัฒนา เมื่อประเทศพัฒนา เราก็ได้พลเมืองที่มีคุณภาพย้อนกลับมาทำคุณประโยชน์ให้แก่เราทางอ้อม ไม่ต้องไปวิ่งจับโจรผู้ร้าย ที่เข้าไม่ถึงการศึกษาที่ไม่มีคุณภาพ แล้วทำไมปัญหาในระบบการศึกษาไทย มันจึงยังเปลี่ยนอะไรไม่ได้
วันนี้จะไขคำตอบให้ฟัง ส่วนหนึ่งที่ปัญหาต่างๆ ในการศึกษาไทยไม่สามารถเเก้ไขได้ คำตอบก็เพราะตัวของคนในวงการศึกษาเอง "ไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหา" พูดอย่างนี้จากใจจริง ไม่ว่าครูหรือนักเรียนจะพูดหรือสะท้อนอะไรไป ก็ไม่มีใครรับฟัง ถ้าปัญหาในวงการศึกษามีคนจริงใจที่จะแก้ไขมันจริง ๆ มันจะไม่มีคำว่า "ปฏิรูปการศึกษา" ออกมาให้เราได้ยินซ้ำ ๆ อีกเลย การที่มันยังคงอยู่ก็เพราะว่าที่ผ่านมามันไม่เคยได้มีการแก้ปัญหาอะไรอย่างเป็นรูปธรรม
ตัวอย่างของชุดความคิดที่คนในวงการศึกษาไม่คิดว่ามันเป็นปัญหาเช่น เมื่อมีการพูดเรื่อง น้ำหนักของกระเป๋าที่นักเรียนไทยต้องแบก คนที่เป็นครูเองแท้ ๆ ก็โยนปัญหาไปแล้วบอกว่า "นักเรียนมักง่าย"
พร้อมให้เหตุผลว่าที่ต้องเเบกหนักเพราะไม่ยอมจัดตารางสอนเอง ซึ่งไม่ได้มีความคิดเห็นเดียวนะครับที่บอกในทำนองนี้ สิ่งนี้กำลังบ่งบอกว่า เมื่อมีการพูดถึงปัญหาที่เกิดขึั้นแทนที่คนในวงการศึกษาเองจะตระหนักและตรวจสอบข้อเท็จจริงแต่กลับบอกว่ามันไม่ใช่ปัญหา เหมือนกับคนในยุคหนึ่งที่เชื่อว่าโลกแบน พอมีคนมาบอกว่าโลกอาจจะกลม เขาก็ไม่เอะใจหรือสงสัยอะไรเลย
ตัวผมเองในชีวิตการทำงานก็เคยเจอเหตุการณ์ในลักษณะนี้ เมื่อเราพูดถึงปัญหาเพื่อที่จะหาทางแก้ไขร่วมกันแต่คำตอบที่ได้คือ "ผมไม่คิดว่ามันเป็นปัญหา" และโยนมาว่าตัวคนพูดเองนั่นแหละจัดการปัญหาไม่ดีเอง กลับมาที่น้ำหนักหนังสือที่นักเรียนแบกเป็นปัญหาจริงหรือเปล่าหรือเป็นเพราะเด็กแค่มักง่ายจริงๆ
มาลองคิดอย่างนี้ว่าหากใน 1 วัน เรียน 6 วิชา แต่ละวิชามี 1.หนังสือเรียน 2.แบบฝึกหัด 3. สมุดจด เมื่อนำจำนวนวิชามาคูณจำนวนหนังสือ จะได้สิ่งที่นักเรียนต้องแบก 6 x 3 = 18 เล่ม แต่อาจจะไม่ต้องมีแบบฝึกทุกวิชา ถัวเฉลี่ยไปเด็กก็อาจจะต้องนำสมุดและหนังสือมาโรงเรียนราวๆ 10 - 12 เล่ม
ซึ่งต่อให้จัดตารางเรียนเป็นอย่างดีแล้วก็ตาม ไม่เป็นคนมักง่ายเขาก็ต้องแบกหนักอยู่ดี อีกทั้งน้ำหนักที่แบกไม่ได้มีแค่หนังสือ แต่ยังมี น้ำหนักของตัวกระเป๋าเอง ขวดน้ำดื่ม แก้วน้ำ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ช้อนส้อม อุปกรณ์การเรียนต่างๆ
วิธีแก้ปัญหานี้คืออาจให้เด็กเอาหนังสือไว้ที่โรงเรียนเอากลับเฉพาะการบ้านหรือเล่มที่อยากอ่านแต่บางโรงเรียนก็มีกฎแปลกๆ เช่น "ห้ามนำหนังสือไว้ใต้โต๊ะ" ทำให้บางโรงเรียนเด็ก จำต้องแบกหนักอย่างไม่มีทางเลี่ยง
ผู้เขียนเองมองว่าเรื่องนี้เป็นปัญหา ในห้องเรียนจึงอนุญาตให้นำหนังสือไว้ใต้โต๊ะได้โดยที่ไม่มีการหายเกิดขึ้น เป็นการฝึกความรับผิดชอบของเขา หากหายก็ให้รับผิดชอบเองและตัวผมเองก็จะเก็บเล่มเก่า ๆ ไว้จึงแก้ปัญหาจากการหายได้ ถ้าไม่ให้เอาอะไรไว้ใต้โต๊ะนักเรียนก็ต้องถามว่า "แล้วผู้ผลิตโต๊ะทำช่องใต้โต๊ะเหล่านี้มาไว้ทำไม?"
แต่อย่างที่บอกนั่นแหละถ้าคนในวงการศึกษาเขาไม่มองว่ามันเป็นปัญหาสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก็จะไม่มีการแก้ไข เพราะมันง่ายกว่าที่จะบอกว่าคนพูด
คนนั้นคือคนผิด คือคนที่มีปัญหา ที่ผ่านมาเขาก็อยู่กันได้ ทำไมมาตอนนี้จะอยู่ไม่ได้ ตัวระบบมันดีอยู่แล้ว ไม่มีใครมีปัญหา เธอนั่นแหละที่เป็นปัญหา และถ้าอยู่ไม่ได้ทนไม่ไหวก็ลาออกไป...