นาทีบีบหัวใจเสียงขอความช่วยเหลือจาก 911

กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ กำลังเตรียมตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย กรณีการรับมือกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่ Robb Elementary School ในเมืองยูวัลดี รัฐเท็กซัส ขณะที่ปีเตอร์ อาร์เรนดอนโด ผู้บัญชาการตำรวจยูวัลดี กำลังถูกตราหน้าว่า "ขี้ขลาด" ไม่สามารถช่วยเหลือเด็ก ๆ ได้ หลังประเมินสถานการณ์ผิดพลาด ทำให้สถานะของซัลวาดอร์ รามอส วัย 18 ปี เปลี่ยนจาก "มือปืนที่ยังก่อเหตุได้" (active shooter) เป็น "ผู้ต้องสงสัยที่ถูกปิดกั้นโดยเครื่องกีดขวาง" (barricaded suspect) โดยเชื่อว่าคนร้ายหยุดยิงและซ่อนตัวอยู่ ทั้งที่มีเด็กพยายามโทรแจ้ง 911 ว่ารามอสยังไล่ยิงพวกเขาอยู่ ล่าสุดอาร์เรนดอนโดวัย 50 ปี อยู่ภายใต้การคุ้มครองของตำรวจ ขณะที่เจ้าหน้าที่สืบสวนของรัฐเท็กซัสกำลังตรวจสอบว่าเขามีวิทยุตำรวจติดตัวตอนที่ตัดสินใจหรือไม่ เพื่อนำมาประเมินการสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา 

ขณะเกิดเหตุรามอสยิงปืนอยู่ด้านนอกโรงเรียนหลายนัด ก่อนเข้าไปข้างในเมื่อเวลา 11.33 น. จากหลักฐานเสียงในคลิปวิดีโอชี้ว่ารามอสยิงปืนกว่า 100 นัด อีก 2 นาทีถัดมา มีตำรวจ 3 นาย เข้าไปในโรงเรียนโดยใช้ทางเข้าทางเดียวกับรามอส และอีก 4 นาย ตามเข้าไปสมทบ แต่รามอสยิงใส่เจ้าหน้าที่และปิดประตูห้องเรียน 

ในเวลา 11.37 น. มีเสียงปืนดังกว่า 16 นัด ก่อนที่กำลังเสริมของตำรวจจะไปถึง และมีกำลังตำรวจอยู่ที่โถงทางเดินนอกห้องเรียนที่เกิดเหตุถึง 19 นาย เมื่อเวลา 12.03 น.แต่ไม่บุกเข้าไป ที่น่าสลดใจยิ่งกว่านั้นคือเสียงผู้หญิงที่โทรแจ้ง 911 บอกชื่อ-นามสกุล และอยู่ห้องเรียนหมายเลข 112 เธอโทรแจ้งทั้งหมด 4 ครั้ง ตั้งแต่เวลา 12.03-12.16 น. แต่ละครั้งใช้เวลา 2-3 นาที ซึ่งครั้งหลังสุดนี้เธอบอกว่าเด็กยังมีชีวิตอยู่ 8-9 คน ต่อมา มีผู้หญิงโทรจากห้องเรียนหมายเลข 111 แต่รีบวางสาย เพราะมีเสียงนักเรียนบอกให้เธอวางสาย จากนั้นเวลา 12.36 น. มีโทรศัพท์แจ้ง 911 เป็นเวลา 21 วินาที คราวนี้เป็นนักเรียนที่บอกว่า คนร้ายยิงประตูและขอให้ 911 "โปรดส่งตำรวจมาเดี๋ยวนี้" 

ยังมีเรื่องจริงที่ทยอยออกมาเรื่อย ๆ ทั้งเรื่องที่ Robb Elementary School เป็นสถานที่ที่เปราะบางต่อการถูกโจมตี เพราะไม่มีกล้องรักษาความปลอดภัย ไม่มีการล็อกประตู ส่วนตำรวจยูวัลดีก็ไม่ได้ทำตามแบบแผนที่ได้รับการฝึกมา เพื่อรับมือกับคนร้ายในรูปแบบเดียวกับรามอส ทั้งที่เพิ่งฝึกเมื่อ 2 เดือนก่อน ซึ่งกระทรวงยุติธรรมกำลังตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย และนับเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดหลังจากตัวเลขเหตุกราดยิงในสหรัฐฯ นับตั้งแต่ต้นปี 2565 ทะลุ 200 เคสแล้ว