svasdssvasds
เนชั่นทีวี

อาชญากรรม

ล่าระทึก "ฉุย รักจันทร์" มือปืนลำดับที่ 145 ย้อนเส้นทาง ยิงถล่มตำรวจดับคาแยก

25 มีนาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

เปิดปฎิบัติการไล่ล่า "ฉุย รักจันทร์" มือปืนลำดับ 145 ซิ่งรถประกบยิงถล่มตำรวจ เสียชีวิตคาสี่แยกไฟแดง บ้านท่านางพรหม-ท่าควาย ต.โคกม่วง อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง ล่าระทึก 17 วัน สุดท้ายจนมุมคาห้องพัก ย่านรามคำแหง

จากเหตุการณ์ยิงปะทะ ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดปฎิบัติการไล่ล่า กับกลุ่มมือปืนรับจ้าง "ฉุย รักจันทร์" บริเวณสี่แยกบ้านท่านางพรหม-ท่าควาย ต.โคกม่วง อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง เมื่อวันที่ 9 มี.ค.65 ที่ผ่านมา จนทำให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ เสียชีวิต 1 นาย คือ ดต.อนันต์  มีแสง ตำแหน่ง ผบ.หมู่ (ป) กก.6 ภ.9 สงขลา ถูกอาวุธปืนยิงเข้าที่บริเวณศีรษะ ส่วนตำรวจที่ถูกยิงได้รับบาดเจ็บอีก 1 นาย ทราบชื่อคือ ดต.ชัชชัย  ศัญโย ตำแหน่ง  ผบ.หมู่ (ป) กก.6 ภ.9 สงขลา โดยถูกอาวุธปืทนยิงเข้าที่บริเวณแขนขวา ได้รับบาดเจ็บสาหัส และ ร.ต.อ.นพดา ณัทณพงศ์ รองหัวหน้าชุด กก.6 ภ.9  สงขลา ถูกกระสุนเฉียดที่บริเวณคิวขวา และถูกกระจกรถยนต์บาดตามตัวหลายแห่ง ได้รับบาดเจ็บ

 

ล่าระทึก "ฉุย รักจันทร์" มือปืนลำดับที่ 145 ย้อนเส้นทาง ยิงถล่มตำรวจดับคาแยก

 

นอกจากนี้ในที่เกิดเหตุ ยังพบศพคนร้ายถูกยิงเสียอีก 1 ราย ซึ่งเมื่อทำการตรวจสอบประวัติทราบชื่อคือ นายวัชระ รัตนสุวรรณ์ อายุ 38 ปี เป็นชาว ต.ดอนทราย  อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง ส่วนพรรคพวกที่ร่วมกันใช้อาวุธปืน ยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถหลบหนีไปได้ 3 ราย โดยหนึ่งในนั้น เป็นมือปืนรับจ้างระดับพระกาฬ ซึ่งนั่นก็คือ นายจำรัส  รักจันทร์ หรือ "ฉุย รักจันทร์" มีประวัติตามหมายจับมากถึง 9 คดี ทั้งในพื้นที่ จังหวัดพัทลุง และจังหวัดสงขลา

 

ทั้งนี้ จากหมายจับทั้ง 9 คดีที่ปรากฏ พบว่า จะพัวพันเกี่ยวกับคดีฆ่าคนตายแทบทั้งสิ้น ซึ่งเมื่อกางประวัติบัญชีดำทั้งหมด ก็จะพบคดีพยายามฆ่าในพื้นที่  สภ.รัตภูมิ มากถึง 4 คดี รองลงมาในพื้นที่ สภ.ป่าบอน 3 คดี และในพื้นที่ สภ.ตะโหมด 1 คดี  รวมทั้ง สภ.คลองแงะ 1 คดี โดยนายจำรัส  หรือ "ฉุย รักจันทร์" ยังตกเป็นมือรับจ้าง ลำดับ 145 ที่ทางตำรวจต้องการตัวมากที่สุดอีกรายหนึ่งอีกด้วย โดยมีการตั้งรางวัลนำจับ เป็นเงินสูงถึง 100,000 บาทเลยทีเดียว   

 

อย่างไรก็ตาม ภายหลังเกิดเหตุ ยิงปะทะกันอย่างดุเดือด บริเวณสี่แยกบ้านท่านางพรหม-ท่าควาย อ.เขาชัยสน ทำให้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งระดมกำลังมือปราบชั้นเซียน จากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งนำโดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. รวมทั้งชุดสืบสวนจากกองบังคับการปราบปราม , ตำรวจภูธรภาค9 และทหารในพื้นที่ เข้าร่วมภาระกิจไล่ล่า "ฉุย รักจันทร์" ในทันที   
 

กระทั่งวันที่ 11 มี.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดไล่ล่า กองปราบปราม สามารถจับกุม นายพงศกร สุวรรณมะโณ หรือ "ไอ้เจ" อายุ 22 ปี หนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับ และร่วมก่อเหตุยิงถล่มตำรวจเอาไว้ได้ ในขณะหลบซ่อนตัวอยู่ภายในพื้นที่ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา และจากการสอบสวน "นายพงศกร หรือ เจ" ให้การรับสารภาพว่า ได้มีการนัดมารวมตัวกันในพื้นที่บ้านท่าควาย อ.เขาชัยสน เพื่อมาสู่ขอแฟนสาวให้กับ นายวัชรระ หรือ ดำ รัตนสุวรรณ์ ที่ถูกตำรวจวิสามัญเสียชีวิตเป็นศพแรกในวันเกิดเหตุ  พร้อมปฎิเสธว่า ไม่ได้มารวมตัวมารับงานยิงคน ตามที่มีการกล่าวอ้าง เพราะนายจำรัส หรือ "ฉุย รักจันทร์" เลิกรับงานยิงคนมานานหลายปีแล้ว

 

ส่วนเหตุยิงปะทะกับตำรวจนั้น เนื่องจาก นายจำรัส เห็นรถของเจ้าหน้าที่ขับวนผ่านหน้าบ้าน ผิดสังเกตหลายครั้ง และเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคู่อริเก่า จึงรีบขับรถตามประกบ ปิดหัวปิดท้าย และลงมือสาดกระสุนยิงถล่ม โดยไม่ได้คิดว่าเป็นตำรวจ ภายหลังจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้พาไปชี้จุดซุกซ่อนอาวุธปืน ในสวนปาล์มท้ายวัดท่าควาย โดยพบอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุ จำนวน 2 กระบอก ประกอบด้วย อาวุธปืนกลอูซี่ แบบพับได้ จำนวน 1 กระบอก และ อาวุธปปืนพกสั้น ขนาด 9 มม. อีก 1 กระบอก

 

 

ถัดจากนั้นอีก 11 วันต่อมา ในวันที่ 22 มี.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเคลื่อนที่เร็ว กองบังคับการปราบปราม ยังสามารถควบคุมตัว นายเกรียงไกร ไชยพูล หรือ "ไกร"  อายุ 27 ปี ลูกน้องคนสนิทของ นายจำรัส  หรือ "ฉุย รักจันทร์" ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ รายที่ 3 เอาไว้ได้  ขณะหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ จ.สงขลา โดยนายเกรียงไกร ได้ติดต่อขอมอบตัวกับตำรวจในพื้นที่ อ.รัตถูมิ จ.สงขลา ทั้งนี้ เมื่อเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวได้แล้ว จึงคุมตัวไปสอบสวนเพิ่มเติมที่ กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง เพื่อสอบสวนขยายผลถึงแหล่งกบดานของนายจำรัส หรือ "ฉุย รักจันทร์" มือปืนระดับพระกาฬ  ซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊งรายนี้


อย่างไรก็ตาม  หลังการจับกุม นายเกรียงไกร หรือ ไกร ตำรวจได้ข้อมูลที่สำคัญของ "ฉุย รักจันทร์" โดยเฉพาะแหล่งกบดาน ซึ่งเบื้องต้นได้มีการระบุว่า มีกระท่อมกลางป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งนายนายจำรัส  หรือ "ฉุย รักจันทร์" มักจะใช้เป็นสถานที่ในการกบดาน หรือมักจะเดินทางไปพักอยู่ในกระท่อมแห่งนี้อยู่บ่อยครั้ง อีกทั้ง พื้นที่ดังกล่าวยังสลับซับซ้อน เพราะเป็นป่าทึบ มีแนวหุบเขาทางธรรมชาติ คอยปิดบังกระท่องดังกล่าว มีทำให้ยากต่อการค้นหา ดังนั้น เจ้าหน้าที่ชุดปฎิบัติการพิเศษ จึงได้ทำการแกะรอย ตามคำให้การของนายเกรียงไกร และ บุกเข้าทำการตรวจค้นกระท่อม หลังดังกล่าวในเวลาต่อมา โดยพบว่า "ฉุย รักจันทร์" ผู้ต้องหาสำคัญ ระดับมือปืนพระกาฬรายนี้ ได้หลบหนี้ออกจากพื้นที่ไปได้อย่างหวุดหวิด ทำให้เจ้าหน้าที่ ต้องเริ่มกลับมาตั้งต้นนับหนึ่งกันใหม่อีกครั้ง  
 

กระทั่งต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้พบข้อมูลสำคัญ จากการสอบสวนขยายผลผู้ต้องหารายที่ 3 ที่จับกุมเอาไว้ได้ ซึ่งสุดท้ายยอมรับสารภาพว่า นายจำรัส หรือ "ฉุย รักจันทร์" ได้สร้างหลักฐานลวง เพื่อให้ชุดไล่ล่าเกิดความสับสน ขณะเดียวกันด้วยความชำนาญในการหลบหนีของมือปืนรายนี้ จึงได้เดินทางย้อนกลับเข้ามากบดาน ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ย่านรามคำแหง ทั้งนี้ เมื่อเจ้าหน้าที่ทราบถึงแหล่งกบดาน ที่บ่งชี้ว่า "ฉุย รักจันทร์" ได้แอบเข้ามากบดานในพื้นที่ดังกล่าวจริง จึงวางแผนปฎิบัติการเข้าจับกุมในทันที   


กระทั่งรุ่งเช้าของวันที่ 25 มี.ค. ปฎิบัติการจู่โจม จากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราม (กก.6 บก.ป.) จึงได้เริ่มขึ้น นำกำลังโดย พ.ต.อ.พงศ์ปณต ชูแก้ว ผกก.6 บก.ป. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ บุกเข้าจับกุมตัว นายจำรัส รักจันทร์ หรือ "ฉุย รักจันทร์" หัวหน้าแก๊งมือปืนยิงถล่มตำรวจกองปราบ จนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ เอาไว้ได้เป็นผลสำเร็จ หลังหลบหนีออกมาจากป่าเขาคาว ในพื้นที่ ม.9 ต.ชะมวง อ.รัตภูมิ จ.สงขลา และปลอมตัวเข้ามากบดาน ในหอพักย่านรามคำแหง ทั้งนี้ ภายหลังจับกุม เจ้าหน้าที่ตำวจจึงได้นำตัวมาสอบสวนที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เพื่อเค้นหาความจริงต่อไป
 

โดย จิรเดช พัฒนศิริ  /  สำนักข่าวเนชั่น

logoline