ย้อนรอยคดี "เสก โลโซ" กับเรื่องอื้อฉาว ที่ต้องลุ้นคำพิพากษาศาลฎีกา คุกมั้ย?

เป็นคดีความที่อยู่ในความสนใจของสังคมมากคดีหนึ่ง กรณีที่เมื่อวาน (24 มี.ค.) ศาลอาญามีนบุรี นัดฟังคำสั่งศาลฎีกา คดีที่นายเสกสรรค์ สุขพิมาย หรือเสก โลโซ นักร้องขวัญใจชาวร็อค ยื่นคำร้องขอแก้ไขฎีกาในคดีถูกศาลอุทธรณ์ พิพากษาลงโทษจำคุก ฐานสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่ เสพยาเสพติด(ไอซ์) และมี อาวุธปืน

 

อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจจะลืมๆเหตุการณ์นี้ไปแล้ว มีที่มาที่ไปอย่างไร ก่อนจะมาถึงคำสั่งศาลฎีกาเมื่อวาน เนชั่นออนไลน์จะช่วยลำดับความให้กระจ่างกันอีกครั้ง

 

สำหรับคดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2560 เจ้าหน้าที่ตำรวจนำหมายศาลเข้าค้นบ้านพัก เสกโลโซ  เหตุมาจากกรณีที่ เสกโลโซ ไปแสดงคอนเสิร์ตที่ จังหวัดนครศรีธรรมราช หลังเสร็จคอนเสิร์ต ได้ไหว้พระที่วัดแห่งหนึ่งแล้วมี การชักปืนยิงขึ้นฟ้า ปรากฎว่า เสกโลโซ ไม่ยอมให้เข้าบ้าน พร้อมไลฟ์สดบอกว่า ตัวเองมีปืนใครเข้ามาจะยิง ถึงขนาด รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลขณะนั้น คือ พล.ต.ต.สมพงษ์ ชิงดวง หรือบิ๊กอู๊ด ต้องเข้าไปเกลี่ยกล่อมที่บ้าน เสกโลโซ จึงยินยอมให้จับกุม นำตัวไปตรวจปัสสาวะพบเป็นสีม่วง จึงโดนแจ้งข้อหาดำเนินคดีทั้งหมด 3 ข้อหา คือ ต่อสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีอาวุธปืน ไว้ในครอบครองฯ และเสพยาเสพติด ทางอัยการสั่งฟ้องทุกข้อหา

 

คดีนี้ เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2561 ศาลอาญามีนบุรี พิพากษาลงโทษจำคุกฐานมีอาวุธปืนฯ 1 ปี รับสารภาพลดโทษเหลือ 6 เดือน ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานฯให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน และฐานเสพยาเสพติด จำคุกอีก 6 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 18 เดือน และให้บวกโทษของศาลอาญาคดีทำร้ายร่างกายอดีตสาวคนสนิทภรรยาอีก 1 ปี 3 เดือน รวมจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 2 ปี 21 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ

 

 

ต่อมาวันที่ 7 พ.ค. 2563 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ลดโทษ ความผิดฐานมีอาวุธปืนเหลือจำคุก 5 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 3 เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานอื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงจำคุก 1 ปี 15 เดือน บวกโทษจำคุก ทำร้ายร่างกายฯ รวมเป็นจำคุก 2 ปี 18 เดือน โดยไม่รอลงอาญา เสกโลโซ ได้รับการปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกา โดยศาลตีราคาประกัน 600,000 บาท และได้ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาในคดีเสพยาเสพติด

 

 

ตามกฎหมายแล้วในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างหรือเพียงแต่ แก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี หรือปรับหรือทั้งจำทั้งปรับแต่โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงฯ ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

 

 

แต่อย่างไรก็ตามคู่ความยังสามารถยื่นฎีกาได้ ถ้าผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณา หรือลงชื่อในคำพิพากษา หรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด และอนุญาตให้ ฎีกา หรืออธิบดีกรมอัยการลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาว่า มีเหตุอันควรที่ศาล สูงสุดจะได้วินิจฉัย ตาม ป.วิอาญา ม.221

 

เสกโลโซ ยื่นศาลได้ขออนุญาตฎีกาในคดียาเสพติด ตาม ป.วิ ยาเสพติด / และ ขอให้ผู้พิพากษารับรองฎีกา ในคดีมีอาวุธปืนและต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน และมีการยื่นขอยื่นแก้ไขคำร้องอนุญาตฎีการรวม 4 ฉบับ

 

ฉบับที่ 1 (เกี่ยวกับการขออนุญาตรับรองฎีกาคดีปืน-ต่อสู้เจ้าพนักงาน) ศาลอาญามีนบุรีพิจารณาแล้ว ให้ยกคำร้องเนื่องจากไม่มีผู้พิพากษาเซ็นรับรองฎีกาส่วนคำร้องฉบับที่ 2 ถึงที่ 4 / ศาลอาญามีนบุรีส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา และนัดฟังคำสั่งวันที่ 24 มีนาคม 2565

 

โดย เสก โลโซ เดินทางไปฟังคำสั่งศาลฎีกาตั้งแต่ 10 โมงเช้า โดยมี กานต์ ภรรยา และเพื่อนไปให้กำลังใจ โดยศาลแจ้งว่าให้รอฟังคำสั่งในเวลา  14.00 น. เมื่อถึงเวลา เสกโลโซ กลับมาฟังคำพิพากษาหลังออกไปรับ ประทานอาหารกลางวัน

 

สำหรับคำสั่งศาลฎีกาสรุปให้สั้นๆเข้าใจง่ายๆ ก็คือ ศาลฎีกาสั่งให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับฎีกาข้อหามีอาวุธปืน-ต่อสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่ของเสกโลโซ (เนื่องจากศาลฎีกาตรวจพบว่ายังมีผู้พิจารณาที่เคยพิจารณาคดีนี้อีก 1 คนยังไม่ได้พิจารณาว่าจะรับรองฎีกาหรือไม่) พร้อมสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้ครบถ้วน ก่อนส่งศาลฎีกาพิจารณาอีกครั้ง นอกจากนี้ศาลฎีกายังได้มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีขออนุญาตฎีกาคดียาเสพติดออกจากสารบบความเป็นการชั่วคราวไว้ก่อน

 

ผลของคำสั่งศาลฎีกาทำให้ เสกโลโซ ยังไม่ต้องเข้าไปนอนในคุกตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ เพราะคดียังไม่ถึงที่สุด

 

 

 

 

 

ภายหลังฟังคำพิพากษา เสกโลโซ ให้สัมภาษณ์บอกว่า  รู้สึกตื่นเต้น มากกว่าทุกครั้งในชีวิตเเต่วันนี้ศาลก็ได้เมตตาให้เลื่อนฟังคำสั่งออกไปส่วน เหตุผลในการเลื่อนนั้นตนยังไม่เข้าใจศัพท์ของทางศาล ยอมรับว่า จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ตัวเองต้องปรับตัวในการใช้ชีวิตมากขึ้นกว่าเดิม คิด ใหม่ทำใหม่ ใจเย็นไม่ใจร้อน ส่วนขั้นตอนในเรื่องของคำสั่งคดีนั้น เป็นหน้าที่ของทนายความ ที่จะยื่นเอกสารเพิ่มเติมให้กับศาลพิจารณาประกอบคำร้องต่อไป ส่วนชีวิตครอบครัวทุกวันนี้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยต่างคนต่างปรับตัว เข้าหากันพยายามไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันเหมือนเก่า