สั่งปลด-ถอดยศ 3 ทหารในพระองค์เมาขับ หน่วย"ราชการในพระองค์"เผยแพร่ประกาศ

เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 65   เว็บไซต์  หน่วยราชการในพระองค์ ได้มีประกาศเรื่องข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหารกระทำความผิดวินัยร้ายแรง  ตามที่ปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ว่ามีบุคคลแต่งกายเครื่องแบบทหาร มีอาการมึนเมา ขับขี่ยานพาหนะของทางราชการ มีการโต้เถียงกับประชาชน ที่ใช้ยานพาหนะ บริเวณถนนบรมราชชนนี ซึ่งเป็นเส้นทางสาธารณะที่ประชาชนใช้สัญจร เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2565 เวลากลางคืน นั้น

 

 

 

 

กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ทม.รอ.) ได้ทำการตรวจสอบแล้วพบว่า บุคคลดังกล่าว เป็นนายทหารชั้นประทวน ในสังกัด ชื่อ จ.ส.ต.นิเวศน์ ฤทธิธรรม ตำแหน่ง ผู้ช่วยนายสิบถวายความปลอดภัย แผนกถวายความปลอดภัย 

 

จึงได้ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงโดยทันที ซึ่งผลการสอบสวนพบว่า ได้กระทำผิดวินัยทหาร ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง กล่าวคือ นำรถยนต์ทางราชการไปใช้ส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต และ ดื่มสุรา และขับขี่ยานพาหนะ ขณะมึนเมา ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อประชาชนที่สัญจรทั่วไป

 

และแต่งกาย ไม่เรียบร้อยถูกต้องตามระเบียบ ใช้กิริยาวาจาไม่สมควรกับประชาชนที่ใช้เส้นทางสัญจรร่วมกันสร้างความเสื่อมเสียต่อหน่วยงาน

 

กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ จึงมีคำสั่งลงโทษปลด จ.ส.ต.นิเวศน์ ฤทธิธรรม ออกจากราชการ และถอดออกจากยศทหาร โดยไม่มีบำเหน็จบำนาญ ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2565 และส่งตัวดำเนินคดีทั้งวินัยและอาญาต่อศาลทหารเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป

 

 

นอกจากนี้ยังได้มีคำสั่งลงโทษกำลังพลนายทหารชั้นประทวน อีก 2 นาย ที่กระทำความผิดวินัยทหารอย่างร้ายแรง คือ จ.ส.อ.กฤษณะ วงษ์นิล กับ จ.ส.ต.สนิท สาระวัลย์ ตำแหน่ง ครูฝึก โรงเรียนทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เนื่องจากปฏิบัติหน้าที่รักษาการณ์ ดูแลอาคารสถานที่ในเขตพระราชฐาน แต่ได้ร่วมดื่มสุรา กับ จ.ส.ต.นิเวศน์  ในขณะปฏิบัติหน้าที่ เป็นการขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา และละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่ 

 

โดยให้ปลดออกจากราชการและถอดออกจากยศทหาร โดยไม่มีบำเหน็จบำนาญทั้ง 2 นาย

 

การนี้ กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ต้องขออภัยต่อประชาชนผู้ที่เกี่ยวข้อง ทุกท่านที่ได้รับความเดือดร้อน ที่กำลังพลดังกล่าวกระทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมและแสดงกิริยาวาจาที่ไม่สมควร

 

ซึ่งที่ผ่านมาทางหน่วยได้กวดขันน้นย้ำกำลังพลอยู่เสมอ ในการประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด และให้เป็นที่พึ่งของประชาชนจึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน หน่วยราชการในพระองค์

13 มีนาคม 2565

 

คลิกอ่าน ประกาศฉบับเต็มได้ที่นี่ 

ประกาศเรื่อง ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหารกระทำความผิดวินัยร้ายแรง

 

อนึ่งก่อนหน้านี้  เฟซบุ๊ก อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทริน์ part 3 โพสต์คลิปเหตุการณ์ชายแต่งกายเครื่องแบบทหาร มีอาการมึนเมา ขับขี่ยานพาหนะของทางราชการ ยืนโต้เถียงกับคนขับรถบรรทุกที่บริเวณถนนบรมราชชนนี พุทธมณฑล สาย 4 กทม. เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ที่ผ่านมา 

 

โดยชายคนดังกล่าวแต่งกายในเครื่องแบบมีท่าทางมึนเมาเดินลงมาต่อมาคนขับรถบรรทุก แม้ว่าคนขับรถบรรทุกจะพยายามชี้แจงว่า รถที่ชายคนดังกล่าวมีปัญหาด้วยคือรถเทรลเลอร์ไม่ใช่รถของตนก็ตาม โดยขณะเกิดเหตุหญิงที่นั่งมาในรถบรรทุกได้ถ่ายคลิปเหตุการณ์ไว้ตลอด พร้อมให้คนขับรถบรรทุกโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ล่าสุด นายสมาน แสงเทพ อายุ 37 ปี คนขับรถบรรทุกหกล้อที่เป็นคันถ่ายคลิป เป็นชาวจังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นเจ้าของโพสต์ผู้เสียหาย ได้ขับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวมาส่งของที่จังหวัดเชียงใหม่ได้ เปิดใจกับทีมข่าวจังหวัดเชียงใหม่ ว่า เหตุการณ์ในคลิปดังกล่าวนั้น ได้เกิดขึ้น เมื่อคืนช่วง 4 ทุ่มครึ่ง ของคืนวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา ขณะที่ขับรถมาตามถนนเขตติดต่อพุทธมณฑลสาย 4 ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างกรุงเทพฯและจังหวัดนครปฐม เพื่อมุ่งหน้าจะมาส่งของที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุเห็นเทรนเลอร์ กับกระบะคู่กรณี ขับปาดกันไปมาตนเองเห็นท่าไม่ดีจะหักรถออกไป

 

นายสมาน กล่าวว่า รู้สึกงงมาก ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร แต่อยู่ๆคนขับกระบะหักมาปาดหน้ารถ จากนั้นจอดแล้วลงจากรถมาในสภาพมึนเมา เดินลงมาต่อว่าตามคลิปบังคับข่มขู่ให้ยอมรับว่าขับรถปาดหน้า จึงโทรแจ้งตำรวจ ทำให้คนขับกระบะเลยขยับรถให้ และต่างก็แยกย้ายกันไป จน มีการแชร์คลิป ดังกล่าวในโลกโซเชียล

 

นายสมาน กล่าวกับผู้สื่อข่าวอีกว่า หลังจากที่สื่อมวลชนนำคลิปดังกล่าวจะนำเสนอ เบื้องต้นไม่อยากติดใจเอาความอะไร แต่อยากให้ผู้ก่อเหตุ ซึ่งคาดว่าเป็นถึงเจ้าหน้าที่ราชการ ดื่มแล้วอย่าขับ และอย่าไปก่อเหตุลักษณะเช่นนี้กับผู้ใช้รถใช้ถนนรายอื่นซ้ำอีก ส่วนคู่กรณีคนในเครื่องแบบที่อยู่ในคลิปนั้นได้โทรศัพท์และส่งไลน์มาขอโทษแล้ว 

 

นายสมาน ได้เปิด LINE ข้อความที่ข้าราชการคนนั้นส่งมาขอโทษให้ผู้สื่อข่าวดู และขอให้ลบคลิปทิ้งด้วย ส่วนในการดำเนินคดีนั้น นายสมาน บอกว่า ไม่ได้ติดใจเอาความใดๆทั้งสิ้น หรือว่าเลิกแล้วต่อกันไป