คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ มีมติเห็นชอบมาตรการรองรับการเปลี่ยนผ่านการระบาดของโรคโควิด-19 สู่
การเป็น “โรคประจำถิ่น” ตั้งเป้าปฏิบัติการ 4 เดือน ภายใน 1 ก.ค.2565 ตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข
(สธ.)
แนวทางการปรับ โควิด-19 สู่ โรคประจำถิ่น แบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้
สิ่งที่ต้องจับตาคือการปรับมาตรการเดินทางเข้าประเทศไทย เพื่ออำนวยความสะดวกเพิ่มเติมแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ก้าวสู่การ “เปิดประเทศเต็มรูปแบบ”
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า วันที่ 18 มี.ค.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ในฐานะประธานศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ชุดใหญ่ จะมีการพิจารณาปรับมาตรการการเดินทางเข้าราชอาณาจักร ให้สอดรับกับมติดังกล่าวของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ โดยจะดูขีดความสามารถการแข่งขันในการเปิดประเทศบนพื้นฐานความปลอดภัยของคนไทย หลังจากหลายประเทศมีนโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น
“เมื่อ โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น ในวันที่ 1 ก.ค.2565 อาจนำไปสู่การยกเลิกไทยแลนด์พาส (Thailand Pass)”
แม้ไทม์ไลน์การประกาศให้ โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นจะตรงกับช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวหรือ “โลว์ซีซั่น” ของภาคท่องเที่ยวไทย แต่คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจาก “อาเซียน” และ “อินเดีย” เดินทางเข้ามาจับจ่ายในไทยมากขึ้น
หลังประเทศเวียดนามประกาศเปิดประเทศ เริ่มวันที่ 15 มี.ค.นี้ ประเทศมาเลเซียประกาศเปิดพรมแดนอีกครั้งในวันที่ 1 เม.ย.นี้ หนุนการท่องเที่ยวผ่านด่านชายแดน และประเทศอินเดียที่ล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพิ่มมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา ให้จัดทำความตกลง Air Travel Bubble ไทย-อินเดีย เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ ขณะที่นักท่องเที่ยวยุโรปซึ่งเป็นตลาดหลักในช่วงแรกๆ ของการเปิดประเทศ อาจชะลอการเดินทางเข้าไทยตามฤดูกาล เนื่องจากเข้าสู่ฤดูร้อน จึงเน้นท่องเที่ยวภายในยุโรปมากกว่า
“อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าจากสถานการณ์โควิด-19 ในไทยขณะนี้ ยังมีความจำเป็นต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 แก่นักท่องเที่ยวด้วยวิธี RT-PCR ครั้งที่ 1 ในวันแรกที่เดินทางถึงไทย และตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 ด้วย Self ATK ในวันที่ 5 เนื่องจากยังพบยอดนักท่องเที่ยวติดเชื้ออยู่ และทุกอย่างต้องเป็นไปตามไทม์ไลน์มติคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ หลังภาคเอกชนท่องเที่ยวต่างแสดงความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า อยากให้ยกเลิกระบบ Test & Go”
ขอบคุณข้อมูล : กรุงเทพธุรกิจ