svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

ศาลปกครองกลาง ยกฟ้อง "ธาริต" ขอเพิกถอนมติ ป.ป.ช.ชี้มูลร่ำรวยผิดปกติ

09 มีนาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งยกฟ้องในคดีที่นายธาริต อดีตอธิบดีDSI ฟ้องขอให้เพิกถอนมติคณะกรรมการป.ป.ช ชี้มูลคร่ำรวยผิดปกติ และคำสั่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรีที่ลงโทษไล่ออกจากราชการ

9 มีนาคม 65 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)ฟ้องขอให้เพิกถอนมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) ที่ชี้มูลความผิดกรณีร่ำรวยผิดปกติ และคำสั่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 3 เม.ย.60 ที่ลงโทษไล่นายธาริต ออกจากราชการ

 

โดยศาลฯเห็นว่า เมื่อพิจารณาจากการที่ ป.ป.ช. ไต่สวนข้อเท็จจริงและพิจารณาวินิจฉัยมีมติว่า นายธาริต เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดี DSI ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติและมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ ทั้งที่อยู่ในชื่อของนายธาริต ,นายปิยฤกษ์ อรรถกานต์รัตน์, นายสนชัย ศรีทองกุล, บริษัท ปิยธนวรรษ จำกัด และนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ รวมมูลค่า 346,652,588.52 บาท

แต่เนื่องจากทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติบางส่วนได้มีการโอน ยักย้าย แปรสภาพหรือซุกซ่อนทรัพย์สิน คงเหลือทรัพย์สินที่ได้มาโดยร่ำรวยผิดปกติที่ ป.ป.ช. มีคำสั่งอายัดไว้เป็นการชั่วคราวจำนวน 90,260687.40 บาท จึงเหลือทรัพย์สินที่ได้มาโดยร่ำรวยผิดปกติจำนวน 256,391,901.12 บาท แล้วเห็นได้ว่าพฤติการณ์แห่งการกระทำของ นายธาริต มีความร้ายแรงเป็นอย่างมากแม้จะอ้างว่ารับราชการมานาน ไม่เคยมีประวัติเสื่อมเสีย หรือเคยกระทำความผิดใดๆมาก่อน มีผลงานในการป้องกันปราบปรามการทุจริตและกระทำผิดในคดีสำคัญของบ้านเมืองเป็นที่ประจักษ์แก่สังคม ควรนำมาพิจารณาประกอบการกำหนดโทษตนเองด้วยนั้น ก็ไม่เป็นเหตุที่ต้องนำมาพิจารณาประกอบเพื่อลดหย่อนการกำหนดโทษ นายธาริต เป็นปลดออกจากราชการ

 

อีกทั้งก่อนที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้กำหนดโทษนายธาริต ก็ได้พิจารณาประกอบกับมติคณะรัฐมนตรี แจ้งตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร.0205/ว234 ลงวันที่ 24 ธ.ค.36 กำหนดแนวทางการลงโทษผู้กระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ เป็นความผิดวินัยร้ายแรง ซึ่งควรลงโทษเป็นไล่ออกจากราชการ การนำเงินที่ทุจริตไปแล้วมาคืน หรือมีเหตุอันควรปรานีอื่นใด ไม่เป็นเหตุให้ลดหย่อนโทษ เป็นการปลดออกจากราชการและไม่ปรากฏว่าสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ประกอบกับในระหว่างการพิจารณาของศาล ปรากฏว่าศาลแพ่งได้มีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติมูลค่า 341,797,811.58 บาท พร้อมดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาโดยร่ำรวยผิดปกติตามรายการ 49 รายการ ตกเป็นของแผ่นดิน  ดังนั้นการที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้รับแจ้งจากประธานป.ป.ช. แล้วมีคำสั่งสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ 47/2560 ลงวันที่ 3 เม.ย.60 ลงโทษไล่นายธาริต ออกจากราชการจึงชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 80 วรรคหนึ่ง(4)พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน 2534

 

ส่วนที่นายธาริต โต้แย้งว่า สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ควรรอคำพิพากษาศาลปกครอง ศาลแพ่ง ที่ตนได้ยื่นฟ้องกรณี ป.ป.ช.ชี้มูลก่อนจะมีคำสั่งไล่ออกจากราชการนั้น ศาลเห็นว่า ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดกำหนดให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รอคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลก่อนออกคำสั่งลงโทษ

 

ส่วนกรณียกคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีหมายเลขดำที่ อม.209/2561 หมายเลขแดงที่อม. 258 /2562 ขึ้นมาแล้วเทียบเคียงว่า การชี้มูลข้อกล่าวหาที่มาจากการไต่สวน ซึ่งมีอำนาจจำกัดแต่เฉพาะการบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของนายธาริต ที่ได้มาในระหว่างการดำรงตำแหน่งอธิบดี DSI ตามที่ระบุไว้ในคำสั่งเท่านั้น จึงต้องถือเป็นการชี้มูลความผิดนายธาริต ในขณะดำรงตำแหน่งอธิบดีDSIและถือเป็นการไต่สวนนายธาริต ในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งสูงตามกฎหมาย ป.ป.ช.นั้น ศาลเห็นว่าคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยถึงอำนาจการไต่สวนของ ป.ป.ช. และกรณีที่จะต้องบังคับแก่ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาเท่านั้น ไม่อาจตีความคำพิพากษาดังกล่าวเช่นที่นายธาริต สรุปได้ข้อกล่าวอ้างของนายธาริต จึงไม่อาจรับฟังได้

logoline