ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวานออกมาตรการคว่ำบาตรชุดแรกต่อรัสเซียเพื่อตอบโต้การกระทำของรัสเซียที่เขาเรียกว่า เป็นการเริ่มต้นบุกยูเครน โดยห้ามธนาคารของรัฐ 2 แห่งในรัสเซียทำธุรกิจในสหรัฐฯ หรือ ตัดการเข้าถึงสถาบันการเงินของสหรัฐฯ, คว่ำบาตรชาวรัสเซีย 5 คนที่ใกล้ชิดประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน, เพิ่มข้อห้ามในการซื้อพันธบัตรรัฐบาลรัสเซีย และห้ามชาวอเมริกันทำธุรกิจในภูมิภาคโดเนตสก์และภูมิภาคลูฮันสก์ ที่แยกตัวจากยูเครน
การตัดสินใจของสหรัฐฯ มีขึ้นหลังจากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซียลงนามในเอกสารรับรองสถานะเอกราชของสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสก์ และสาธารณรัฐประชาชนลูฮันสก์เมื่อวันจันทร์
นอกจากนี้สหภาพยุโรป หรือ อียู ออกมาตรการคว่ำบาตรต่อบุคคลและองค์กรของรัสเซีย 27 ราย รวมถึง ธนาคาร, จำกัดการเข้าถึงเงินทุนจากธนาคารในอียู, ห้ามนักลงทุนในอียูซื้อพันธบัตรรัฐบาลรัสเซีย, ห้ามการค้าระหว่างอียูกับ 2 ดินแดนกบฏยูเครน และคว่ำบาตรสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรัสเซีย 351 คน
ขณะที่นายกรัฐมนตรีโอลาฟ โชลซ์ ของเยอรมนี ประกาศระงับการออกใบอนุญาตประกอบการแก่โครงการท่อส่งก๊าซนอร์ด สตรีม 2 ที่เชื่อมระหว่างรัสเซียและเยอรมนี ทำให้ไม่สามารถดำเนินงานได้แม้การก่อสร้างเสร็จสิ้นตั้งแต่เดือน ก.ย.ปีที่แล้ว
และอังกฤษประกาศคว่ำบาตรธนาคารรัสเซีย 5 แห่ง และมหาเศรษฐีพันล้านของรัสเซีย 3 คน
ส่วนแคนาดาออกมาตรการห้ามชาวแคนาดาซื้อพันธบัตรรัฐบาลรัสเซีย, ห้ามชาวแคนาดาทำธุรกรรมใด ๆ กับโดเนตสก์และลูฮันสก์ และคว่ำบาตรสมาชิกรัฐสภารัสเซียที่หนุนรับรองเอกราชของโดเนตสก์และลูฮันสก์
แต่ชาติตะวันตกยังมีมาตรการอื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อใช้ลงโทษรัสเซีย และหนึ่งในมาตรการรุนแรงที่สุด คือ การตัดรัสเซียออกจาก “สวิฟต์” (Swift) ซึ่งเป็นระบบโอนเงินข้ามประเทศที่ใช้โดยสถาบันการเงินกว่า 11,000 แห่งในกว่า 200 ประเทศ ซึ่งจะทำให้ธนาคารรัสเซียทำธุรกิจในต่างประเทศได้ยากลำบาก แต่ก็จะส่งผลกระทบต่อสหรัฐฯ และยุโรปด้วยเช่นกัน
ส่วนทางเลือกอื่น ๆ ที่สามารถทำได้ คือ ห้ามรัสเซียทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ ที่ใช้เงินดอลลาร์, จำกัดการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงไปยังรัสเซีย และระงับการซื้อน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติจากบริษัทพลังงานของรัสเซีย แต่ทางเลือกเหล่านี้ล้วนจะส่งผลกระทบในทางตรงกันข้ามกับชาติตะวันตกอย่างมากด้วยเช่นกัน