
ทำเอาบรรดาแฟนคลับต้องใจหายไปตามๆกัน ภายหลังนายบดีศร ปุสสเทโว บุตรชาย นายบุญเกื้อ ปุสสเทโว ทีมโฆษกพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กแจ้งข่าวระบุว่า นายบุญเกื้อ ผู้เป็นบิดา ได้เสียชีวิตอย่างสงบแล้ว ที่บ้านพักอ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี โดยมีกำหนดการตั้งศพไว้ที่วัดหนองลานราษฎร์บำรุง เป็นเวลา 7 วัน
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ เมื่อ 25 มกราคม 2565 นายบุญเกื้อ ได้โพสต์เฟซบุ๊กในเชิงร่ำลาไว้ก่อนแล้ว เมื่อทราบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ระบุว่า
“ถึงเวลาที่จะต้องกล่าวอำลาต่อญาติพี่น้องมิตรสหายทุกคน และถือโอกาสนี้ขออโหสิกรรม ไม่เอาโทษต่อกัน เลิกแล้วต่อกันอย่าได้มีเวรกันต่อไปเลย มะเร็งเยื่อบุช่องท้อง เข้าสู่ระยะสุดท้าย แรงถอยลงอย่างรวดเร็วจนยืนไม่ได้ แม้จะยังมีกำลังใจดีอยู่ ผมคาดคะเนว่าคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 10 วัน เมื่อถึงวาระสุดท้าย ผมจะตั้งจิตกำหนดอานาปานัสสติกำหนดลมหายใจเข้าออก แล้วภาวนาบทพุทโธ ออกเสียงว่า พุท-โธ, พุท-โธ, พุท-โธ จนค่อยๆหมดแรงดับไปด้วยอาการอันสงบ” พร้อมลงชื่อ บุญเกื้อ ปุสสเทโว 25 มกราคม 2565 ปัจฉิมบท
หลังจากนั้น วันนี้ 31 มกราคม 2565 มีกระแสข่าวว่านายบุญเกื้อเสียชีวิตลงแล้ว ก่อนที่เพจ "บุญเกื้อ ปุสสเทโว" โดยลูกชายจะออกมาโพสต์ ยืนยันว่า
"แจ้งข่าว ตามที่มีข่าวว่านายบุญเกื้อ ปุสสเทโวเสียชีวิตแล้วนั้น ไม่เป็นความจริง แม้พ่อจะมีอาการอ่อนแรงลงเรื่อยๆ แต่ยังมิได้เสียชีวิต คุณพ่อสั่งว่าถ้าพ่อเสียชีวิต ให้ผมเป็นคนโพสต์ลงเฟซบุ๊กนี้เอง กราบขอบพระคุณทุกกำลังใจที่ส่งให้พ่อ นายบดีศร ปุสสเทโว บุตรชาย ผู้แจ้งข่าว "
จากการตรวจสอบประวัติของทีมข่าวเนชั่นออนไลน์ พบว่านายบุญเกื้อเคยเป็นถึงผู้ช่วยของนายยศวัฒน์ มาไพศาลสิน ส.ส.กาญจนบุรี พรรคภูมิใจไทย ที่ลาออกจากตำแหน่งมาได้ไม่นานนี้
โดยสาเหตุการลาออก หากย้อนกลับไปก่อนหน้า นายบุญเกื้อ หรือชาวเน็ตบางรายรู้จัก "พี่เกื้อ" นั้น เพิ่งก่อวีรกรรมฉาวจนถูกนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย สั่งปลดออกจากตำแหน่ง เมื่อช่วงเดือนเมษายน 2564 จากการโพสต์ข้อความตำหนิประชาชนไปขอความช่วยเหลือเรื่องเงินเยียวยา 5,000 บาท หน้ากระทรวงคลัง
ซึ่งช่วงนั้นปัญหาเรื่องการจ่ายเงินเยียวยากำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง แต่เมื่อลองย้อนกลับไปหาอ่านข้อความที่ ว่าที่ร.ต.บุญเกื้อ เคยโพสต์เอาไว้ คงพอสัมผัสได้ถึงความรุนแรงในถ้อยคำและทัศนคติของเขา
"เห็นคนกลุ่มหนึ่งพร้อมนักข่าวทีวี หนังสือพิมพ์ บุกกระทรวงการคลังทวง 5,000 บาท ดูไม่เป็นธรรมชาติ รัฐบาลควรจดชื่อไว้ งดการช่วยเหลือทุกชนิดพวกมัน 7 ชั่วโคตร"
นอกจากนั้น ยังมีอีกโพสต์หนึ่งระบุว่า "คนกลุ่มหนึ่งที่อ้างว่าไม่ได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาทจากรัฐบาล เนื่องจากการตรวจสอบข้อมูลที่ผิดพลาด ได้บุกเข้ามาในกระทรวงการคลังพร้อมกับนักข่าวทีวีและนักข่าวหนังสือพิมพ์ โวยวายด่าทอรัฐบาลอย่างหยาบคาย บางคนก็แสดงพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ ถกตูดถกก้นให้รัฐบาล เป็นภาพออกสื่อมวลชน ....ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าคนพวกนี้สมควรจะได้รับการเยียวยาหรือไม่ แค่ไหน เพียงใด พร้อมติดแฮชแท็ก #ปชชงรจตกม ซึ่งหมายถึง ประชาชนโง่เราจะตายกันหมด"
สำหรับแฮชแท็ก #ปชชงรจตกม ในขณะนั้นหมายถึง ประชาชนโง่เราจะตายกันหมด อันเป็นแฮชแท็กดัง จากกรณีนายศาสตรา ศรีปาน ส.ส.สงขลา พรรคพลังประชารัฐ นำข้อความของชาวเน็ตคนหนึ่งมาแชร์ต่อผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว จากการสะท้อนความเห็นเกี่ยวกับการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในวลี “ประชาชนโง่จะตายกันหมด” ” และเป็นการตอบโต้ข้อความที่ว่า ”ผู้นำโง่เราจะตายกันหมด” จนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในความไม่เหมาะสม ก่อนจะออกมาขอโทษ และชี้แจงว่าเป็นความเข้าใจผิด
หลังจากนายบุญเกื้อโพสต์ข้อความสุดแรงนี้ ปรากฏว่า "ทัวร์ลง" จน "เสี่ยหนู อนุทิน" สั่งปลดออกจากตำแหน่ง โดยให้เหตุผลว่า แนวคิดแบบนี้ไม่เหมาะที่จะทำงานการเมืองกับพรรคภูมิใจไทย
แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้สะทกสะท้าน หรือระคายเคือง เพราะยังได้โพสต์ข้อความสวนกลับแทบจะทันทีว่า "การแสดงความคิดเห็นเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ดังนั้น เพื่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยไม่ให้ไปกระทบต่อพรรคภูมิใจไทย หรือ ส.ส.ของพรรค ผมจึงขอลาออกจากผู้ช่วย ส.ส. ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป"
หลังจากทัวร์เลิกลงได้ไม่นาน ผ่านมาอีกเพียงแค่ 2 เดือน นายบุญเกื้อ ก็โพสต์เรียกทัวร์อีกครั้ง หลังออกมาเปิดปมเรื่องเงินบริจาค 7.2 ล้านบาท โครงการ "เมย์เดย์ เมย์เดย์" ถึงขนาดประกาศไม่ยอมลบโพสต์ แม้จะโดน "ช่อ พรรณิการ์" ออกมาฟ้องเล่นงานทางกฎหมายก็ตาม ซึ่งขณะนี้คดียังอยู่ระหว่างการพิจารณา
สำหรับประวัติด้านการศึกษาของ นายบุญเกื้อ เคยศึกษาที่โรงเรียนท่ามะกาวิทยาคม จังหวัดกาญจนบุรี และมหาวิทยาลัยรามคำแหง ก่อนเสียชีวิตเคลื่อนไหวร่วมกับกลุ่มไทยภักดี ของนายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม โดยเฉพาะประเด็นการออกมาปกป้องสถาบันฯ
ครั้งหนึ่งนายบุญเกื้อ เคยเล่าถึงนามสกุลอันสุดแปลกของเขาไว้ในเฟสบุ๊กพร้อมภาพประกอบ ระบุว่า
“นายตาด ปุสสเทโว ทวดผม รูปนี้ถ่ายไว้เมื่อต้นสมัยร.6 ทวดตาดเป็นบุตรของสมเด็จพระสังฆราชสา ปุสฺสเทโว พระสังฆราชองค์ที่9 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ นายตาดเกิดช่วงที่สมเด็จสาได้ลาสิขามาใช้ชีวิตฆราวาสอยู่ระยะหนึ่งและมีบุตรชาย3คน ซึ่งเป็นที่มาของนามสกุลปุสสเด็จ และปุสสเทโว แห่งเมืองนนทบุรี ก่อนที่รัชกาลที่4 จะให้ตามตัวนายสากลับมาบวชใหม่”
ภาพนี้ปรากฎอยู่ในสมุดภาพเก่าเมืองนนทบุรี ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นโดยจังหวัดนนทบุรีและได้มีคำบรรยายประกอบภาพว่านายตาด ปุสสเทโว เป็นทายาทของสมเด็จพระสังฆราชสา หนังสือนี้มีนายเอนก นาวิกมูล ศิลปินแห่งชาติ เป็นบรรณาธิการ
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงนายบุญเกื้อ ว่า
"ผมชื่นชมพี่บุญเกื้อ ปุสเทโวในความจงรักภักดีและความกล้าหาญในการต่อสู้เพื่อปกป้องสถาบัน ผมทราบการป่วยเป็นมะเร็งของพี่บุญเกื้อ และโพสต์ให้กำลังใจในการต่อสู้กับโรคร้ายจนโดนแม่ดุว่าไม่ควรโพสต์เพราะความเจ็บป่วยเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ผมต้องเคารพและมีมารยาท"
"เพราะพี่บุญเกื้ออาจจะไม่ต้องการให้ใครรู้เลยก็ได้ แต่แล้วความก็ทราบถึงฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงพระมหากรุณาธิคุณแก่พี่บุญเกื้อเป็นล้นพ้นเหลือประมาณ ทรงรับเป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ เมื่อผมเจอพี่บุญเกื้อหลังจากนั้น พี่บุญเกื้อขอบใจผมและพนมมือขึ้นท่วมหัวด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดไม่ได้ บัดนี้การเดินทางระยะสุดท้ายกลับสู่ธรรมชาติของพี่บุญเกื้อกำลังจะเริ่มต้นขึ้น"
"ขอกราบอัญเชิญพระราชบารมีแห่งพระเจ้าอยู่หัวที่พี่บุญเกื้อจงรักภักดียิ่งด้วยหัวใจให้คุ้มครองการเดินทางระยะสุดท้ายของพี่เป็นไปอย่างราบรื่น สงบสุข"
กระทั่งนายบุญเกื้อ มาเสียชีวิตลงเมื่อคืนที่ผ่านมา 18 ก.พ. 2565