27 มกราคม 2565 จากกรณี เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ของซาอุดีอาระเบีย เชิญพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะพระราชอาคันตุกะเข้าเฝ้าฯอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 25-26 มกราคมที่ผ่านมา จนเป็นที่จับจับตามองของหลายประเทศ โดยเฉพาะแนวทางการบริหารประเทศ ของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
นอกจากนี้ยังได้มีการกล่าวถึง Saudi Vision 2030 แผนปฏิรูปเศรษฐกิจสังคม ที่ออกแบบมาเพื่อให้ซาอุดีอาระเบียเดินหน้าโดยไม่ต้องพึ่งพาการส่งออกน้ำมันแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งมีการกล่าวถึงกันอย่างมากในขณะนี้
เรื่องดังกล่าว สำนักข่าวรอยเตอร์ ได้รวบรวมสาระสำคัญของแผน Saudi Vision 2030 ไว้ว่า
ปรับพีไอเอฟ เป็นมหาอำนาจการลงทุนโลก
การปรับโครงสร้างกองทุนการลงทุนสาธารณะ (พีไอเอฟ) ที่รัฐเป็นเจ้าของ เพื่อเปลี่ยนซาอุดีอาระเบีย จากผู้ส่งออกน้ำมันอันดับหนึ่งของโลก ไปเป็นมหาอำนาจด้านการลงทุนโลก รัฐวิสาหกิจน้ำมัน “ซาอุดีอารามโค” จะเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ใหม่ ของพีไอเอฟ
ปี 2558 พีไอเอฟสร้างผลตอบแทนราว 3 หมื่นล้านริยัล (8 หมื่นล้านดอลลาร์) และตั้งเป้าเพิ่มสินทรัพย์จาก 6 แสนล้านริยัลเป็นกว่า 7 ล้านล้านริยัล
ปรับโครงสร้างโครงสร้างหน่วยงานและสินทรัพย์ของรัฐ
เพื่อให้สถานะการเงินหน่วยงานรัฐอยู่รอดได้ในระยะยาว Saudi Vision 2030 เลือกใช้การปรับโครงสร้างหน่วยงานและสินทรัพย์ของรัฐแทนการลดค่าใช้จ่ายเป็นปัจจัยสำคัญ
การปฏิรูปไม่จำเป็นว่า รัฐบาลต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมหาศาล แต่เป็นการทำโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้วต่อไป
เปลี่ยน ซาอุดีอารามโค รัฐวิสาหกิจของรัฐ เป็นโฮลดิง
ซาอุดีอารามโค จะถูกเปลี่ยนเป็น บริษัทโฮลดิงด้านพลังงาน คณะกรรมการบริหารมาจากการเลือกตั้ง นำบริษัทลูกบางแห่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยบริษัทแม่มีมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งการนำหุ้นไม่เกิน 5% เปิดขายต่อสาธารณะครั้งแรก (ไอพีโอ) เช่น ขายหุ้นเพียง 1% ก็จะกลายเป็นการทำไอพีโอครั้งใหญ่สุดของโลกได้แล้ว
กระตุ้นให้สถาบันการเงินจัดสรรเงินทุน 20% ของทั้งหมดให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็กภายในปี 2573 การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเพิ่มเป็น 5.7% ของจีดีพีจาก 3.8%
การทำเหมืองและพลังงานหมุนเวียน
ซาอุดีอาระเบีย ตั้งเป้าผลิตพลังงานหมุนเวียน 9.5 กิกะวัตต์ และต้องมีอุตสาหกรรมผลิตพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น อุตสาหกรรมทำเหมือง ต้องสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) สู่ระดับ 9.7 หมื่นล้านริยัล (2.59 หมื่นล้านดอลลาร์) เพิ่มการจ้างงานในอุตสาหกรรมนี้อีก 90,000 คน ภายในปี 2563
ด้านทหาร ตั้งอุตสาหกรรมกลาโหม
รัฐบาลมีแผนตั้งบริษัทโฮลดิงหนึ่งแห่งทำอุตสาหกรรมกลาโหม เริ่มต้นให้เป็นกิจการของรัฐเต็มรูปแบบต่อมาค่อยจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซาอุดีอาระเบีย
ระบบกรีนการ์ด
ซาอุดีอาระเบียจะนำระบบ “กรีนการ์ด” มาใช้ภายในห้าปี เพื่อให้ชาวต่างชาติมีสิทธิ์ใช้ชีวิตและทำงานในราชอาณาจักระยะยาว
เพิ่มจำนวนผู้แสวงบุญ
ซาอุดีอาระเบีย เล็งรับผู้แสวงบุญเพิ่มจากปีละ 8 ล้านคนเป็น 30 ล้านคน
เป้าหมาย
Vision 2030 ประกอบด้วยเป้าหมายอื่นๆ มากกว่า 12 ข้อ ซึ่งในขณะประกาศแผนยังไม่มีรายละเอียดว่าจะบรรลุเป้าหมายได้อย่างไร แต่ปลายทางคือภายใน พ.ศ.2573 เช่น รายได้ของรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากน้ำมันจะทะลุ 6 แสนล้านริยัล ภายในปี 2563 และ 1 ล้านล้านริยัลภายในปี 2573 จาก 1.63 แสนล้านริยัลในปี 2558
Saudi Vision 2030 สำเร็จ
ภายหลังผ่านไป 5 ปี สภากิจการเศรษฐกิจและการพัฒนาซาอุดีอาระเบีย ได้ทบทวน Saudi Vision 2030 เมื่อเดือน เม.ย.2564 พบว่า ประสบความสำเร็จใน 3 เรื่องหลัก ประกอบด้วย “สังคมรุ่งเรือง เศรษฐกิจมั่งคั่ง ประเทศชาติก้าวไกล”
เว็บไซต์อาหรับนิวส์ รายงานถ้อยแถลง สภากิจการเศรษฐกิจและการพัฒนาซาอุดีอาระเบีย ระบุว่า การเข้าถึงบริการสาธารณสุขฉุกเฉินภายใน 4 ชั่วโมงตอนเปิดตัวแผนการอยู่ที่ 36% เพิ่มขึ้นเป็น 87% การจัดการถนนดีขึ้น การเสียชีวิตจากอุบัตเหตุบนท้องถนนรายปีลดลงจาก 28.8 ต่อ 100,000 คนเหลือ 13.5 คน
จำนวนประชาชนเล่นกีฬาสัปดาห์ละอย่างน้อยหนึ่งครั้งเพิ่มจาก 13% ก่อนปฏิรูปเป็น 19%ในปี 2563
แหล่งโบราณคดีที่ท่องเที่ยวได้เพิ่มจาก 241 แห่งในปี 2560 เป็น 354 แห่งในปี 2563 ช่วยสร้างงานในภาคการท่องเที่ยวและสร้างจีดีพีอย่างมีนัยสำคัญ
อีกโครงการหนึ่งของ Saudi Vision 2030 คือ NEOM เมืองไฮเทคแห่งอนาคต มูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์ศูนย์กลางกำลังก่อสร้างอยู่บนทะเลแดง
เมืองหุ่นยนต์และเทคโนโลยี
โจเซฟ แบรดลีย์ ซีอีโอบริษัทเทคแอนด์ดิจิทัลโฮลดิงของ NEOM กล่าวกับสำนักข่าวเอเอฟพี เมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมาว่า NEOM ที่จะมีหุ่นยนต์และกำลังทดลองแท็กซี่ลอยฟ้า เดินหน้าเปิดรับผู้อาศัยและธุรกิจได้ตามแผนภายในปี 2568
คณะกรรมการบริหาร NEOM ที่มี เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด เป็นองค์ประธานจะอนุมัติกฎหมายก่อตั้ง NEOM ได้ภายในหนึ่งหรือสองปีนี้
การท่องเที่ยวเสาหลัก
การพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นเสาหลักหนึ่งในโครงการ “Saudi Vision 2030” เพื่อเตรียมพร้อมเศรษฐกิจซาอุดีอาระเบีย ที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลกอาหรับ ให้หลากหลายมากขึ้น ไม่ต้องพึ่งพาน้ำมันแต่เพียงอย่างเดียว
ทางการซาอุดีอาระเบียโหมโฆษณาแหล่งโบราณสถาน ทะเลทรายทิวทัศน์งดงาม และชายหาด แต่ยังเน้นแหล่งท่องเที่ยวในเมืองใหญ่อย่างกรุงริยาด และเจดดาห์ เมืองท่าริมฝั่งทะเลแดงทางภาคตะวันตก ที่ทางการทุ่มทุนก้อนโตสร้างแหล่งบันเทิง
นอกจากนี้ เอเอฟพี รายงานด้วยว่า ที่ผ่านมา มกุฎราชกุมารมุฮัมมัด ทรงพยายามปรับภาพลักษณ์อนุรักษนิยมสุดขั้วของประเทศ โดยอนุญาตให้เปิดโรงภาพยนตร์ ผู้หญิงขับรถได้ หญิงชายดูคอนเสิร์ตและการแข่งขันกีฬาด้วยกันได้ แต่อับดุลลาห์ อัล ฟาเอซ ที่ปรึกษาด้านการวางแผนเศรษฐกิจมองว่า การปฏิรูปการท่องเที่ยวจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานมารองรับด้วย ไม่ว่าจะเป็นถนนหรือโรงแรม และท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รัฐบาลจะต้องสร้างจิตสำนึกประชาชนให้เห็นความสำคัญของการท่องเที่ยวด้วย ว่าช่วยเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจและการจ้างงานได้
ทั้งนี้หลังจาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ได้เดินทางกลับจากซาอุดีอาระเบีย เพียงไม่กี่ชั่วโมง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha ซึ่งได้มีการกล่าวถึง Saudi Vision 2030 หรือแผนปฏิรูปเศรษฐกิจสังคมซาอุฯและโครงการที่ไทยจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนนี้ อาทิ
ด้านการท่องเที่ยว การเยือนในระดับประชาชนที่จะมีพลวัตรมากขึ้นอย่างยิ่ง มีการคาดการณ์ว่า การเดินทางไปมาหาสู่ที่สะดวกยิ่งขึ้นระหว่างประเทศไทยกับซาอุดีอาระเบีย จะสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศไทยไม่ต่ำกว่าประมาณ 5,000 ล้านบาทต่อปี
ด้านพลังงาน เกิดการร่วมวิจัยและลงทุน ทั้งในรูปแบบพลังงานดั้งเดิม พลังงานสะอาด และพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ชาติของทั้งสองประเทศ โดยซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศผู้ค้าและมีแหล่งสำรองน้ำมันอันดับต้นๆ ของโลก ตลอดจนมีวิทยาการด้านพลังงานที่ทันสมัย ส่วนไทยก็มีเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่พร้อมรองรับการวิจัย พัฒนา และการลงทุนแห่งอนาคต ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามนโยบาย BCG Economy ซึ่งสอดรับกับข้อริเริ่ม Saudi Green Initiative และ Middle East Green Initative ของซาอุดีอาระเบีย
ด้านแรงงาน ไทยมีแรงงานฝีมือและกึ่งฝีมือที่มีศักยภาพจำนวนมาก ในขณะที่ซาอุดีอาระเบียก็มีโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรูปแบบต่าง ๆ จำนวนมากเช่นกัน โดยแรงงานจากประเทศไทย จะมีส่วนช่วยเติมเต็ม “วิสัยทัศน์ซาอุดีอาระเบีย ค.ศ. 2030” (Saudi Vision 2030) ผ่านโครงการก่อสร้างที่คาดว่าจะมีขึ้นเป็นจำนวนมาก
ขอบคุณภาพจาก NEOM on Twitter