นายอะพร เพชรรักษ์ ผู้ใหญ่บ้าน ม.8 บ้านเขาพนม ต.ป่าร่อน อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ได้นำผู้สื่อข่าวไปที่บ้านเลขที่ 56 ม.7 ต.ช้างซ้าย อ.กาญจนดิษฐ์ เป็นบ้านของนางวรรณี เพชรรักษ์ อายุ 73 ปี มารดาของตน
พร้อมเปิดเผยว่าเมื่อเวลาประมาณ 03.00 น.- 04.00 น. ของวันที่ 25 ม.ค.65 ได้มีตำรวจกลุ่มหนึ่ง นำโดย นายตำรวจ ยศ พ.ต.ท.ตำแหน่งรองผู้กำกับ สภ.กาญจนดิษฐ์ บุกเข้าภายในบ้านเพื่อจับกุมตัว นายเชาวลิตร เพชรรักษ์ อายุ 40 ปี น้องชายของตนข้อหาทำร้ายร่างกายภรรยา ขณะที่นายเชาวลิตร กำลังนอนหลับเฝ้าแม่ที่ป่วยติดเตียงอยู่ชั้นล่างของตัวบ้านโดยไม่มีประตูบ้าน
ขณะบุกเข้าควบคุมตัว ได้ตะโกนบอกว่า ผู้ต้องหาขัดขืนการจับกุมพร้อมกับใช้อาวุธปืนยิงใส่น้องชายไป 1 นัด กระสุนถูกที่ลำตัวทะลุหลังได้รับบาดเจ็บอยู่บนที่นอน ก่อนลากตัวขึ้นรถ และขับออกจากบ้านไป ท่ามกลางความตกใจของผู้เป็นแม่ ที่มีโรคประจำตัวหลายโรค ทั้งเบาหวาน เส้นเลือดตีบ ทำให้เดินไม่ได้ตามองเห็นไม่ชัด เวลาเดินต้องใช้อุปกรณ์ช่วยพยุง
หลังเกิดเหตุตนได้สอบถามไปยังที่ต่างๆ จนทราบว่ากลุ่มบุคคลที่เข้ามาก่อเหตุเป็นตำรวจ โดย พ.ต.อ.ปิยพงษ์ บุญแก้ว ผกก. สภ.กาญจนดิษฐ์ โทรศัพท์มาแจ้งด้วยตนเองว่า กลุ่มคนที่เข้าไปที่บ้านเป็นตำรวจ มีรองผู้กำกับสืบสวนเป็นผู้นำกำลังเข้าไป ซึ่งตนได้ต่อว่าทางโทรศัพท์ไปว่าการกระทำดังกล่าวไม่ถูกต้องตามกฎหมาย การบุกเข้าจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับในยามวิกาลนั้น เจ้าหน้าที่ไม่มีอำนาจ ประกอบกับคดีดังกล่าวเป็นคดีแค่ทำร้ายร่างกาย จึงเห็นว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ และยืนยันจะเดินหน้าเอาเรื่องให้ถึงที่สุดหากไม่ได้รับความเป็นธรรม
นายอะพร ยังระบุว่าทางตำรวจพิสูจน์หลักฐาน 8 ได้เข้ามาเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุ โดยพบหัวกระสุนปืนตกอยู่ในที่เกิดเหตุจำนวน 1 หัว แม็กใส่กระสุนปืนขนาด 9 มม.จำนวน 1 อัน มีลูกกระสุนปืนขนาด 9 มม.จำนวน 1 นัด และคราบเลือดบนที่นอนในที่เกิดเหตุ
นายอะพร ยอมรับว่าตำรวจออกหมายจับน้องชายในคดีทำร้ายร่างกายภรรยา และน้องชายยังไม่ยอมไปพบตำรวจ โดยน้องชายอยู่ในระหว่างการบำบัดรักษากับทางโรงพยาบาลกาญจนดิษฐ์ และโรงพยาบาล อบจ.สุราษฎร์ธานี เพราะมีประวัติเสพยาเสพติดทำให้มีอาการทางสมอง โดยตนเองเป็นคนพาไปหาหมอตามนัด ส่วนช่วงโควิด-19 ระบาดหนักทางโรงพยาบาลจัดส่งยารักษามาให้ถึงบ้าน ซึ่งปัจจุบันอยู่กับแม่และเป็นผู้ดูแลแม่
ส่วนสาเหตุที่ทำร้ายภรรยาเกิดจากอาการโมโหเกี่ยวกับเรื่องดูแลภรรยา ที่น้องชายจ่ายให้เดือนละ 3,000 บาท และอาจจะติดขัดอยู่บ้างทำให้เครียดจึงได้ลงมือทำร้ายร่างกายภรรยา จึงถูกภรรยาแจ้งความ จนกระทั่งตำรวจออกหมายจับ และตนเองบอกให้ไปพบตำรวจแต่น้องชายไม่ยอมไปบอกว่าเคลียร์กันจบแล้ว
จากนั้นตำรวจก็มาตามตัวเรื่อย ๆ ซึ่งตนเองตั้งใจจะพาตัวน้องชายไปพบตำรวจตามหมายจับอยู่แล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าตำรวจจะบุกเข้ามายามวิกาลและยิงน้องชาย ซึ่งตนยืนยันว่าน้องชายมีเพียงมีดทำครัวด้ามเดียวไม่มีอาวุธปืนแน่นอน
ขณะที่นางวรรณี เพชรรักษ์ อายุ 73 ปี ผู้เป็นแม่ เล่าให้ฟังด้วยเสียงสั่นเครือว่า ตอนเกิดเหตุได้ยินเสียงว่า “นี่คือเจ้าหน้าที่” จากนั้นก็ยิงเลย และได้นำตัวลูกชายไป ตนเองร้องไห้จนเป็นลมไปเมื่อได้สติก็ร้องเรียกชาวบ้านให้ช่วย ตอนนี้กลัวลูกชายจะตาย
ส่วนเรื่องที่ลูกชายทะเลาะกับภรรยาทราบว่า ลูกชายชดใช้ค่าเสียหายไปแล้วเป็นจำนวนเงิน 30,000 บาท ซึ่งลูกชายคนนี้อยู่กับแม่ คอยหุงหาอาหารให้แม่ ป้อนข้าวป้อนน้ำ และนอนเป็นเพื่อนแม่ทุกวัน เพราะลูกคนอื่น ๆ มีครอบครัวและอยู่ห่างไกล ตนเองไม่ทราบว่าตอนนี้อาการลูกชายเป็นอย่างไรบ้าง กลัวลูกตาย หากเป็นไปได้ตนเองอยากจะเจ็บและตายแทนลูกเอง
ด้านนายเชาวลิตร ผู้บาดเจ็บที่นอนรักษาตัวอยู่ใน โรงพยาบาลกาญจนดิษฐ์ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าอยู่ 2 นาย บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ขณะนอนหลับมีบุคคล 2 คน เข้าควบตัวแต่ไม่รู้ว่าเป็นใครและไม่ได้บอกกล่าวเพราะมันมืดจึงได้ขัดขืนและกอดปล้ำกันจนเสียงดัง และตนก็ถูกยิง 1 นัด กระสุนเข้าที่เหนือราวนมด้านขวากระสุนทะลุออก หลังจากนั้นก็ถูกเอาตัวมาขึ้นรถส่งโรงพยาบาลกาญจนดิษฐ์
อย่างไรก็ตามในส่วนของตำรวจ ระดับผู้บังคับบัญชาขณะนี้ยังไม่สามารถติดต่อได้
ภาพ/ข่าว : สุวรรณี บัณฑิศักดิ์ จ.สุราษฎร์ธานี