อธิบดีกรมควบคุมโรค เผย ร้านอาหารกึ่งผับบาร์ ต้นเหตุโควิดพุ่ง

4 มกราคม 2565 นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงถึงสถานการณ์โรคโควิด-19 ในประเทศไทยว่า วันนี้เป็นอีกวันที่มีรายงานผู้ติดเชื้อวิด-19 รายใหม่เกิน 1 ล้านคนทั่วโลก แต่แนวโน้มผู้เสียชีวิตลดลง จะเห็นว่าขณะนี้การติดเชื้อทั่วโลกมากขึ้นเรื่อยๆ แต่การเสียชีวิตลดลง

นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า สำหรับการเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย จะมีทั้งหมด 3 รูปแบบ คือ ระบบเทสต์ แอนด์ โก (Test & Go) ซึ่งประเทศไทยได้ปิดการลงทะเบียนเมื่อปลายปี 2564 แล้ว เพื่อชะลอการแพร่ระบาดของเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน อีกแบบคือ การเข้ามาในรูปแบบแซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) ซึ่งจะมีที่ จ.ภูเก็ต และแบบกักตัวตามปกติ ซึ่งหลังจากที่ปิดระบบเทสต์ แอนด์ โก แล้ว แนวโน้มของการเข้ามาในประเทศของนักท่องเที่ยวมีน้อยลงอย่างชัดเจน

นพ.โอภาส ยังได้กล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงปีใหม่ว่า ส่งผลให้หลายเมืองที่เป็นเมืองท่องเที่ยวมียอดผู้ติดเชื้อสูงขึ้น

"ในวันนี้สิ่งที่แตกต่างไปจากเดิม คือ เมื่อก่อนบริเวณที่ติดเชื้อสูงสุดจะเป็นกรุงเทพมหานคร แต่วันนี้ จ.ชลบุรี กลายเป็นจังหวัดที่ติดเชื้อสูงที่สุดในประเทศไทย และที่ติดเชื้อสูงเช่นกัน คือ จ.อุบลราชธานี เกิดจากการทำกิจกรรมร่วมกันโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย และเป็นพื้นที่ที่มีการรวมตัวกันหนาแน่น"

ส่วนผู้เสียชีวิตนั้น ในระยะหลังพบผู้เสียชีวิตเกือบทั้งหมดจะเป็นผู้สูงอายุที่อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ดังนั้น ท่านใดที่ยังลังเลผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีน เลิกกังวลได้แล้ว เพราะเราฉีดวัคซีนไปกว่า 100 ล้านโดส และผลก็พบว่า ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ คือกลุ่ม 608 เพราะฉะนั้น ช่วยพากันไปฉีดวัคซีนที่สถานพยาบาลใกล้บ้านท่าน

อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระยะต่อไป คือ ร้านอาหารกึ่งผับ-บาร์ ที่ทาง สธ.ไม่มีนโยบายให้เปิด แต่ทางร้านมาขอเปิดเป็นร้านอาหาร และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดอนุญาตให้เปิดแล้ว ซึ่งในความเป็นจริง คือทางร้านปิดม่านลง และทำให้อากาศไม่ถ่ายเท และไม่มีการสวมหน้ากากอนามัย และเปิดเพลงพูดคุย ส่งเสริมการขาย

ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฏหมาย และต้องดำเนินตามกฏหมายอย่างเคร่งครัด และเมื่อช่วงเช้า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ สธ.ได้ให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดไปเข้มงวดสถานที่มีความเสี่ยงเหล่านี้ หากที่ไหนไม่ทำตาม ขอให้ดำเนินการตามกฏหมายสูงสุด เพราะฉะนั้น ตรงไหนมีความเสี่ยงขอความกรุณา อย่าไป อย่าเห็นแก่ความสนุกไม่เท่าไร และทำโรคระบาดแพร่กระจายไปทั่ว

นพ.โอภาส ยังได้กล่าวอีกว่า ถ้ากลับมาดูการคาดการณ์โรคโควิด-19 หลังปีใหม่ของ สธ. คาดการณ์ว่าจะมีการกระจายตัวของผู้ติดเชื้อมากขึ้น โดยเฉพาะสายพันธุ์โอมิครอน และยังคาดการณ์สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ไปถึงการพบผู้ติดเชื้อสูงสุด 30,000 รายต่อวัน แต่ตามมาตรการที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ จะสามารช่วยชะลอการแพร่ระบาดได้ และเร่งฉีดวัคซีน

"สำหรับสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการโรคโควิด-19 ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เราได้เรียนรู้จากปีแรกโดยได้บทเรียนจากจีน เช่น การล็อกดาวน์ที่หลายๆ ประเทศก็ใช้ และเราพยายามทำให้โควิด-19 เป็นศูนย์ หรือ Zero Covid-19 ส่วนในปีต่อมา เราอยู่ในช่วงของ New Normal หรือ ชีวิตวิถีใหม่ และเริ่มเปิดประเทศให้ระบบเศรษฐกิจได้เดินหน้า และเริ่มมีการฉีดวัคซีน ทำให้เราสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ส่วนในปีนี้ เข้าสู่ปีที่ 3 ของการระบาดโรคโควิด-19 เราจะพยายามทำให้โควิด-19 กลายเป็นโรคประจำถิ่น เพื่อที่จะทำให้เชื้อโรคอยู่กับเราได้อย่างสมดุล และเร่งการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น คือ เข็มที่ 3 หรือเข็มที่ 4 มียา มีความรู้ในการรักษาและรับมือมากขึ้น และทำให้โควิด-19 กลายเป็นโรคประจำถิ่น"

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการปรับมาตรการแซนด์บ็อกซ์ให้เข้มงวดขึ้นหรือไม่ อย่างไร นพ.โอภาส ตอบว่า สำหรับการเข้าประเทศไทยในขณะนี้มีทั้งหมด 3 วิธีด้วยกัน คือ

1. ระบบเทสต์ แอนด์ โก (Test & Go) โดยที่จะต้องฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้ว
2. ระบบแซนด์บ็อกซ์ ที่ท่านจะต้องเดินทางลงไปที่ จ.ภูเก็ต และทำการตรวจ RT-PCR เมื่อผลเป็นลบ ก็จะสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ใน จ.ภูเก็ต เป็นเวลา 7 วัน
3. ระบบการกักตัว 10 วัน หากฉีดวัคซีนครบก็กักตัว 7 วัน และทำการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR หากผลเป็นลบก็สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้

"ส่วนมาตรการแซนด์บ็อกซ์ที่อนุญาตให้เข้ามาได้มีแค่ จ.ภูเก็ต พื้นที่เดียว แต่ในระยะต่อไปจังหวัดใดที่ต้องการเปลี่ยนเป็นแซนด์บ็อกซ์ ก็จะต้องดูถึงมาตรการและความพร้อมต่างๆ และขออนุมัติจากศูนย์บริหารสถานการณ์สถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ซึ่งขณะนี้ ศบค.ไม่อนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาแบบเทสต์ แอนด์ โก ตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้ว และขณะนี้ก็ยังคงไม่อนุญาตอยู่ โดยจะให้เข้ามาแบบแซนด์บ็อกซ์เป็นหลัก"