นายทรงยศ บรรจงมณี ผู้อำนวยการฝ่ายจดทะเบียนหลักทรัพย์ 3 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ปัจจุบันประชาชนมีโอกาสเข้าถึงวัคชีน ได้มากขึ้น และภาคธุรกิจหลายแห่งเริ่มกลับมาเปิดดำเนินการได้ตามปกติ สะท้อนในสภาวะเศรษฐกิจรวมถึง ตลาดทุนของไทยที่เริ่มมีแนวโน้มฟื้นตัว
โดยเห็นได้จากจำนวนบริษัทที่ระดมทุนผ่านการเสนอขายหลักทรัพย์ ต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และบริษัทที่ยื่นคำขออนุญาตเสนอขายที่เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา
ในปี 2564 มีบริษัทที่ออก IPO มากถึง 41 หลักทรัพย์ ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงสุดในรอบ 4 ปี และเพิ่มขึ้น 52% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2563 ที่มีจำนวน IPO 27 หลักทรัพย์
รวมทั้งบริษัทที่ยื่นคำขออนุญาตเสนอขาย IPO ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ในปี 2564 ก็พบว่ามีจำนวนเพิ่มเช่นกันซึ่งมี 45 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2564) เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีจำนวน 39 บริษัท
"แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของผู้ลงทุนที่มีสภาพคล่องส่วนเกิน พร้อมที่จะลงทุน และยังแสดงให้เห็นมุมมองเชิงบวกของผู้ประกอบธุรกิจต่อเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย"
รวมทั้งเป็นสัญญาณว่าผู้ประกอบธุรกิจสามารถพึ่งพาตลาดทุนเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับเพิ่มสภาพคล่อง และความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคตได้
หากพิจารณาในด้านมูลค่าการเสนอขาย IPO ของปี 2564 ก็สูงถึง 1.37 แสนล้านบาท ซึ่งสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศในกลุ่มอาเซียนเป็นรองเพียงแค่ประเทศอินโดนีเซียเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังมีอีก 23 หลักทรัพย์ที่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาคำขออนุญาตฯ หรือได้รับอนุญาตแล้วแต่ยังไม่ได้เสนอขาย IPO
เมื่อพิจารณาใน รายละเอียดของบริษัทที่เสนอขาย IPO ในปี 2564 โดยแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า
กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการระดมทุนสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่
โดยในช่วงปีที่ผ่านมาแม้ว่าจะยังอยู่ในช่วงสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 แต่สถานการณ์เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ส่งผลให้หลายบริษัทมองถึงการกลับมาฟื้นตัวของอุปสงค์ระยะยาวในอนาคต เช่น อุปสงค์ความต้องการ
ด้านพลังงานที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาขยายตัวและการขนส่งและเดินทางที่เพิ่มขึ้น และเมื่อเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ การจับจ่ายใช้สอยและการขยายตัวของสินเชื่อก็จะโต ตามไปด้วย
นอกจากนี้ สถานการณ์ COVID-19 ยังส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป เช่น อุปสงค์ของที่อยู่อาศัย ในแนวราบที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากในช่วงการระบาดของโรคดังกล่าว ผู้อยู่อาศัยจะใช้เวลาเฉลี่ยต่อวัน ในการอยู่บ้านมากขึ้นจากแนวโน้มการทำงานจากที่บ้าน (work from home) ซึ่งที่อยู่อาศัยแนบราบแบบบ้านเดี่ยวหรือทาวน์โฮมสามารถตอบโจทย์ในเรื่องพื้นใช้สอยของผู้อยู่อาศัยได้มากกว่า