วันที่ 12 ธันวาคม 2564 กลุ่มเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น พร้อมด้วยภาคี เครือข่ายประกอบไปด้วย สมาพันธ์สมาคมประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย / สมาคม สมาพันธ์ โรงเรียนสอนศาสนาอิสลามภาคใต้ / ภาคีภาคประชาชน /เครื่อข่าย save นาบอน และกลุ่มp-move รวมตัวกัน ที่บริเวณหน้าองค์การสหประชาชาติ (UN) ถ.ราชดำเนินนอก แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพฯ เพื่อประกาศจุดยืน เข้าร่วมเรียกร้องให้รัฐบาลทำตามบันทึกข้อตกลงที่ทำไว้กับผู้ชุมนุม เมื่อเดือน ธันวาคม 2563 เนื่องจากรัฐบาลทำผิดสัญญา ไม่มีการแจ้งความคืบหน้าของโครงการให้คนในพื้นที่ทราบ
ในขณะเดียวกันบริษัทเอกชน และกลุ่มสนับสนุนได้ลักไก่ เดินหน้า จัดทำ EIA ของโครงการต่างๆ ในพื้นที่จะสร้างอุตสาหกรรมจะนะ จ.สงขลา มีการตั้งเวทีรับฟังความคิดเหตุก็จริง แต่ทำผ่านระบบออนไลน์โดยอ้างเรื่องสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ ที่ไม่ทีความชำนาญ หรือเข้าถึงเทคโนโลยีได้ไม่มีพื้นที่แสดงแนวหรือผลกระทบในท้องถิ่น ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นความจริงได้ ถือเป็นการลักไก่ หรือที่คนภาคใต้เรียกว่า “ขี้ฉ้อ”
โดยก่อนหน้านี้ เรามาร่วมตัวกันเพื่อทวงสัญญาจากรัฐบาล แต่กลับโดนสลายการชุมนุมและดำเนินคดี ทั้งที่ประชาชนอย่างเรามาเพื่อเรียนร้องความยุติธรรม จากความเดือดร้อนที่เจ้าหน้าที่รัฐได้กระทำ โดยไม่มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่รัฐบาลกลับพยายามยัดเยียดเรื่องการเมืองให้เรา และดำเนินคดีกับชาวบ้าน ในลักษณะเดียวกับการชุมนุมทางการเมือง
เรายืนยันว่า พวกเรามีเจตนารมณ์เพียงแค่จะปกป้องทะเล ดูแลอากาศ ไม่ใช่แค่อำเภอจะนะ แต่เป็นอุตสาหกรรมทุกแห่ง ทุกภาค เมื่ออุตสาหกรรมเข้ามาโดยไม่มีประชาชนเป็นส่วนร่วมก็จะเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชน ในวันนี้กลุ่มเราจะเป็นเสมือนต้นแบบที่จะแสดงออกถึงการเรียกร้อง เพื่อปกป้อง และพัฒนาที่ยั่งยื่น
นายจำนงค์ หนูพันธ์ ประธาน P-move กล่าวว่า เรายังคงย้ำและเรียกร้อง 4 ข้อ คือ
1.รัฐบาลต้องตรวจสอบศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)อีกครั้ง
2.รัฐบาลจะจัดให้มีการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน เพื่อให้มีข้อมูลทางวิชาการที่ถูกต้องประกอบการตัดสินใจ เดินหน้าหรือยุติโครงการต่อไป
3.รัฐบาลต้องยุติการดำเนินการทั้งหมดไว้ก่อนจนกว่าจะดำเนินการตามข้อ 1 และ 2 แล้วเสร็จ
4.รัฐบาลต้องยุติการดำเนินคดีกับเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่นทั้ง 37 คน ที่เกิดจากการสลายการชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล
"เราต้องการหาทางออกความขัดแย้งด้วยกระบวนการ แนวทางการประเมินสิ่งแวดล้อม ระดับยุทธศาสตร์ หรือ SEA เราไม่เคยยืนกระต่ายขาเดียว ว่าโครงการนี้ต้องหยุด แต่เราเสนอว่าจะทำต่อหรือยกเลิก เอาเหตุผลทางวิชาการมาเป็นตัวตัดสินได้หรือไม่ ใช้นักวิชาการที่มีความชำนาญแต่ละเรื่อง และมี 3 ด้านที่ควรศึกษา คือด้านสิ่งแวดล้อม สังคมวัฒนธรรม และเศรษฐศาสตร์
จากนั้นเอาข้อเท็จจริงมาประกอบการตัดสินใจให้กับชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ สิ่งที่เราอยากได้วันนี้ ไม่ใช่ MOU อีกต่อไป เราได้ทำร่างกระบวนการ SEA ไว้ให้ท่านแล้ว ร่างนี้ถูกรับรองจากนักวิชาการในมหาวิทยาลัยที่ จ.สงขลา หากมีการตกลงในขั้นหลักการ นายกฯสามารถเซ็นแต่งตั้งคำสั่งนี้ พวกผมกลับบ้านเลย แต่ถ้าไม่เซ็น ไม่มีกำหนดกลับ จะนั่งอยู่จนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ"
ในขณะที่ นายเรือง สีแก้ว ที่ปรึกษาเครือข่ายจะนรักถิ่น เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (13 ธ.ค.64) เรา และเครือข่ายที่จะเดินทางมาจากภาคใต้อีกนับ 100 คนจะเดินทางที่ ประตู 1 ทำเนียนรัฐบาล ถึงแม้จะรู้ว่าตอนนี้ตำรวจได้มีการวางสิ่งกีดขวางไว้ตามเส้นทางที่จะเคลื่อนขบวน แต่เราก็จะเดินทางไปให้ใกล้ที่สุด
"จากการหารือกับชาวบ้าน เราพร้อมจะแลกทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั้งชีวิต เพื่อให้ได้ข้อตกลงที่ต้องการ และข้อตกลงของเราต้องเป็นข้อตกลงที่ผ่านมติ ครม. จึงจะเดินทางกลับ"
นอกจากนี้ อยากให้ทุกคนตั้งข้อสังเกต วันนี้มีกลุ่มสนับสนุนโครงการอุตสาหกรรมทางภาคใต้กำลังจะเดินทางขึ้นมา เป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ และจะขึ้นมาเพื่ออะไร และก็ได้ข่าวมาว่ามีบุคคลที่สนิทกับนักการเมือง กำลังพยายามเข้ามาเคลียร์ ซึ่งประกาศไว้ตรงนี้ว่าอย่าให้เห็นว่าเข้ามาในพื้นที่ ไม่รับรองความปลอดภัย ถ้าอยากคุยหรือเจรจาอะไร