เรื่องควบรวมกิจการที่เป็นพันธมิตรกันระหว่างดีแทคและทรู ดีลนี้สองค่ายมือถือในประเทศไทย ตกลงร่วมกันที่จะเป็นพันธมิตรแต่ปรากฏว่าทุกคนจับจ้องมองเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะเกี่ยวพันกับผู้ใช้โทรศัพท์มือถือร่วม 52 ล้านเลขหมาย เมื่อสองค่ายยักษ์ใหญ่อันดับ 2 และ 3 ตัดสินใจทำธุรกิจร่วมกันจึงเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับทุกคน
ตอนนี้หน่วยงานหลายหน่วยงานออกมาแสดงความวิตกกังวลแบบแตกต่างกัน เป็นการบ่งบอกว่าดีลในการควบรวมการเป็นพันธมิตรกัน ของสองค่ายยักษ์ใหญ่ กลายเป็นดีลแห่งความกลัว
วิเคราะห์ว่าด้วยเรื่องของความกลัว
ตอนนี้ทุกธุรกิจกลัวเรื่องของ Technology disruption สัญญาที่ส่งออกมาจากฝ่ายบริหารสูงสุดของสององค์กรจึงส่งสัญญาณออกมา
ทางกลุ่มซีพีกรุ๊ปพูดชัดเจนว่า จะอยู่แบบนี้ไม่ได้ต้องปรับตัวเองขึ้นอีกเป็นบริษัท Tech Company
การปรับตัวรอบนี้จึงมีผลต่อ Player ในตลาด แล้วตอนนี้โดยเฉพาะทรูหนี้สูงมากเพราะฉะนั้นการที่จะต่อสู้ในธุรกิจนี้จะลงทุนใหม่ลำบาก
ตรงกันเมื่อไหร่รายได้ที่เกิดขึ้นมันจะมากกว่าคู่แข่ง แต่ในเชิงธุรกิจเมื่อรวมกันแล้ววิเคราะห์กันแบบนี้
จะมาผู้ถือหุ้นใหญ่ของดีแทค หลายภูมิภาคลดความสำคัญลง สิ่งที่น่ากลัวคือเมื่อรวมกันแล้วโอกาสที่จะเกิดขึ้นเป็นไปได้สูงต่อโครงสร้างผู้ถือหุ้นในดีแทคจะแปรเปลี่ยนไป
และสิ่งที่กลัวที่สุดคือกลัวเอไอเอส ตอนนี้ตลาดมาร์เก็ตแชร์เอเอสใหญ่มากหลังจากเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ยิ่งน่ากลัว เพราะคนที่เข้ามาถือหุ้นคือบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จํากัด (มหาชน)
หลังจากเกิดปรากฏการควบรวมวันนี้เราเห็นปรากฏการณ์บางอย่าง เอไอเอสเต็มไปหมด เพราะต้องการบอกว่ามาใช้เอไอเอสกันเถอะ มาดูตำนานในการปรับตัวของทรูในการปรับองค์กร
เหตุการณ์ย้อนรอยสะท้อนอย่างหนึ่งว่าทางทรูพยายามหาพาทเนอร์เข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง การเซ็นสัญญากับเทเลนอร์ก็เป็นอีกก้าวที่สำคัญ ส่วนจะเหมือนในอดีตหรือไม่ต้องดูกันต่อ แต่สีที่ต้องดูกันต่อหลังจากนี้จะเข้าข่ายการผูกขาดอยู่เหนือตลาดหรือไม่ หรือจะสามารถทำได้หรือไม่เมื่อสองบริษัทมีบริษัทลูกแล้วไปถือลายเส้นคลื่นความถี่
พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่กำหนดไว้หลายอย่าง
ตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาแม้ว่าลายเส้นคนถือจะเป็นบริษัทลูกก็ตาม แต่บริษัทแม่รวมกันถือว่าเข้าข่ายเช่นนั้นหรือไม่ คือเรื่องที่ต้องติดตามต่อไปว่าดีลที่ใหญ่ระดับประเทศของสองยักษ์ใหญ่ค่ายมือถือเกี่ยวพันกับคนไทยแทบทุกคน
บัตรสองใบที่มีการประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กำลังกลายเป็นปมใหญ่ที่ทุกคนจับตามอง บรรยากาศหลังจากนี้ไปการช่วงชิงอำนาจในเกมการเลือกตั้งทางการเมืองนั้น จะเป็นเกมแห่งการช่วงชิงอำนาจกันอย่างไร
สูตรแห่งการคำนวณซึ่งจะได้มาซึ่งปาร์ตี้ลิสต์ จะเป็นหัวใจหลักที่พลิกจากอีกพรรคหนึ่งไปสู่อีกพรรคนึง หลังจากนี้ที่ทุกคนรอลุ้นกันอยู่ก็คือ พ.ร.ป.เลือกตั้งส.ส.ฉบับกกต. ก็มีการยกร่างออกไปเรียบร้อย
ประเด็นที่พิจารณากันคือร่าง พ.ร.ป. ทั้งหมดมี 3-4 ฉบับ เวลาเสนอเพื่อไปพิจารณาในชั้นแปรญัตติของกฎหมายจะมัดรวมกันเป็นหนึ่งเพื่อทำให้กระบวนการพิจารณาเร็วขึ้น
ความเห็นที่แตกต่างกันเอาไปใช้ในชั้นสงวนคำแปรญัตติเพื่อให้การทำงานเร็วขึ้น ระยะเวลาในการออกกฎหมายลูกกำหนดไว้แบบนี้
เต็มที่ทุกคนจับตามองเป็นพิเศษตอนนี้คือ พ.ร.ป. ในสูตรที่มีการคิดกัน
นี่คือรายชื่อของพรรคและบัญชีรายชื่อทั้งหมดของส.ส. ในบ้านเรา ถ้าเอาไปคำนวณในสูตรเราจะเหลือพรรคการเมืองที่มีปาร์ตี้ลิสต์อยู่ 11 พรรค
เป็นการคิดตัวเลข ณ ปี 62 เมื่อถึงเลือกตั้งปีหน้าหรือตอนปลายปีจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งอาจจะเยอะกว่าเดิม เมื่อนักข่าวไปถามลุงป้อมว่าบัตรสองใบจะยังไง
ประชาธิปัตย์ยืนยันว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่รอบนี้ให้น้ำหนักทั้งพรรคและเขต อยู่ที่ประชาชนจะเลือกกันว่าเป็นแบบไหนแต่ตัวเลขที่เอามาให้ดูเมื่อสักครู่เป็นปรากฏการณ์ว่าด้วยเรื่องปาร์ตี้ลิสต์ที่จะเป็นตัวสกัดพรรคเล็กให้หายไปจากสารระบบ
นี่คือเกมแห่งอำนาจ ซึ่งต้องดูกันต่อไปว่าร่างกฎหมายที่กำลังดำเนินการแต่ละพรรคจะออกมาเป็นรายละเอียดอย่างไรและเป็นบทพิสูจน์ทิศทาง อำนาจ ที่จะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งในอนาคต
ที่มา เนชั่นอินไซต์ บากบั่น บุญเลิศ และ วีระศักดิ์ พงษ์อักษร