svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ภูมิภาค

วอนล่าตัว! อ้างเป็นทนายความ หลอกเอาเงินชาวบ้านเกือบแสนบาท

15 พฤศจิกายน 2564
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ผู้เสียหายชาวขอนแก่น วอนตำรวจล่าตัวมิจฉาชีพ อ้างตัวทนายความรับว่าความให้ชาวบ้าน ออกอุบายสร้างความน่าเชื่อถือจนเหยื่อหลงเชื่อว่าจ้างทำคดี ได้เงินไปกว่า 90,000 บาท พบเป็นลูกจ้างของสำนักทนายความที่ขอนแก่น และหลอกผู้เสียหายไว้หลายราย

15 พฤศจิกายน 2564 มีกรณีเพจเฟซบุ๊กชื่อ “อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทิร์น Part 1” โพสต์ภาพชายคนหนึ่ง พร้อมข้อความระบุว่า “เตือนภัยสังคม ญาติพี่น้องเราเจอมากับตัว อ้างตัวว่าเป็นทนายความ รับว่าความ ทางญาติเราจ่ายเงินไป 90,000 บาท แล้วมารู้ความจริงว่าเป็นทนายปลอม ได้แจ้งความไว้แล้วแล้ว นัดจะคืนเงินเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 64 พอถึงวันนัดก็ไม่ยอมคืนตามที่ตกลงกันไว้ ได้ตามตัวทางขอนแก่น มารู้ประวัติมีคู่กรณีเยอะมาก หลอกทุกอย่าง แต่งเรื่องปลอมทุกอย่าง เอาผู้อื่นมาแอบอ้าง ยังเดินหน้าที่จะแต่งเรื่องโกหกคนอื่นต่อไป หลอกเอาเงินคนอื่นไปโดยไม่กลัวว่าคนอื่นจะเดือดร้อน”

 

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปพบกับผู้เสียหายที่เข้าแจ้งความคือ นางสาวฟ้า (นามสมมุติ) อายุ 38 ปี นำคลิปที่ถ่ายจากโทรศัพท์มือถือบันทึกเหตุการณ์ขณะที่เดินทางไปทวงเงินจำนวน 90,000 บาท ที่ถูกทนายปลอมรายนี้หลอกเอาไป มาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าว พร้อมทั้งคลิปเหตุการณ์ที่ระบุว่า เป็นคลิปในสำนักงานทนายความที่ทนายปลอมคนนี้ทำงานอยู่ โดยได้พบกับทนายตัวจริงบอกให้ชายที่ถูกกล่าวหา หาเงินมาเคลียร์คืนผู้เสียหายไป

วอนล่าตัว! อ้างเป็นทนายความ หลอกเอาเงินชาวบ้านเกือบแสนบาท
 

นางสาวฟ้า เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เนื่องจากพี่ชายมีคดีความในศาลจังหวัดร้อยเอ็ด  จึงต้องการทนายความ ตนจึงได้หาในเฟซบุ๊ก จนไปพบเฟซบุ๊กชื่อ “มิสเตอร์ทีม หัวใจศิลา” ซึ่งมีโปรไฟล์เป็นชายสวมชุดทนายความ จึงเข้าไปดูรายละเอียดในเฟซบุ๊กชื่อดังกล่าว พบว่า มีสำนักงานทนายความตั้งอยู่ที่ริมถนนรอบบึงแก่นนคร ในเมืองขอนแก่น จึงทักแชทเฟซบุ๊กไปขอเบอร์โทรศัพท์และขอไลน์ โดยทราบว่า คนที่ตนเชื่อว่าเป็นทนายความนั้น ชื่อว่านายเอ๋ (นายกันต์พงษ์ กองศิริ อายุ 42 ปี  อยู่บ้านเลขที่ 93/9 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น)  และเริ่มคุยกัน ปรึกษากันเรื่องคดีความเรื่อยมา  ตั้งแต่เดือนมีนาคม จนถึงเดือนกันยายน 2564  โดยนายเอ๋ จะพูดถึงคดีว่าต้องเปลี่ยนสัญญา เปลี่ยนชื่อในเอกสาร และต้องให้เงินอัยการ  โดยจะมีค่าใช้จ่ายในเรื่องของค่าทนายความ 25,000บาท ค่าเสียเวลา ค่าเปลี่ยนสัญญา ค่าเดินทาง  รวมทั้งหมด 90,000บาท  ซึ่งในขณะนั้นยังไม่ทราบว่า นายเอ๋ ไม่ใช่ทนายความ

 

นางสาวฟ้า  กล่าวอีกว่า ตลอดเวลาที่พูดคุยกันและจ่ายเงินให้ไปนั้น ไม่ทราบเลยว่าตัวเองถูกหลอก กระทั่งเดือนสิงหาคม พี่สาวที่สนิทกัน ชื่อนางนุช มีเรื่องที่ต้องเคลียร์คดีในชั้นศาล จึงมาปรึกษา เพราะต้องการทนายความไปว่าความให้ จึงแนะนำนายเอ๋ หรือทนายเอ๋ให้กับพี่สาว  พี่สาวจึงได้ติดต่อพูดคุยกับนายเอ๋ พร้อมกับถามตนว่า เรื่องคดีที่ทนายเอ๋ จัดการให้นั้น มีความคืบหน้าหรือมีผลสรุปออกมาอย่างไรบ้าง   จึงตอบว่า ไม่มี 

วอนล่าตัว! อ้างเป็นทนายความ หลอกเอาเงินชาวบ้านเกือบแสนบาท
 

จากนั้นพี่สาวก็พยายามสืบหาความจริง เพราะพี่สาวสงสัยว่านายเอ๋ ปลอมตัวเป็นทนาย โดยที่ไม่มีความรู้ความสามารถใดๆ เลย แต่เพื่อหลอกเอาเงินจึงปลอมเป็นทนายความ  พี่สาวจึงแกล้งคุยและขอตั๋วทนายความจากนายเอ๋ รวมถึงขอทราบชื่อสำนักงานทนายความ และที่ตั้งสำนักงาน ซึ่งนายเอ๋ ยอมบอกทุกอย่าง เมื่อทราบชื่อสำนักงานทนายความตามที่นายเอ๋บอก พี่สาวจึงไปตรวจสอบที่สำนักงานทนายความดังกล่าว อยู่ที่ถนนริมบึงแก่นนคร ในเขตเทศบาลนครขอนแก่น  และพบกับเจ้าของสำนักงานทนายความ  จึงทราบว่าจริงว่า นายเอ๋ไม่ใช่ทนายความและไม่มีความรู้ทางกฎหมาย เป็นเพียงประชาชนทั่วไปที่มาตีสนิทคนในสำนักงานฯ  

 

ทั้งยังทราบอีกว่า มีชาวบ้านจำนวนมากถูกนายเอ๋ หลอก  และถ้าพี่สาวถูกหลอกให้ไปแจ้งความกับตำรวจ เมื่อพี่สาวรู้ความจริงจึงมาเล่าให้ฟัง  ซึ่งตรงกับวันที่ 19 กันยายน 2564 เป็นช่วงที่นายเอ๋ ทักไลน์มาขอเงินค่าเดินทางไปศาลอีกจำนวน 10,000บาท ตนจึงบอกไปว่า มีเงินในบัญชีเพียง 3,000บาท อีก 7,000 บาท จะยืมเพื่อนให้ และให้ไปรับส่วนที่เหลือจากเพื่อนที่ขอนแก่น  ซึ่งเพื่อนที่ตนอ้างคือพี่สาวชื่อนุช  และนายเอ๋ ก็ติดต่อขอรับเงินจากพี่สาว พี่สาวจึงนัดรับที่หน้าสำนักงานทนายความ ริมบึงแก่นนคร  เมื่อนายเอ๋ มารับเงิน พี่สาวจึงให้เข้าไปที่สำนักงานทนายความและให้นายเอ๋ เข้าไปในสำนักงานทนายความ  จากนั้นความจริงก็ถูกเปิดเผย เพราะนายเอ๋ ยอมรับว่า แกล้งเป็นทนายความของสำนักงาน หลอกเอาเงินไปจริงๆ พี่สาวจึงให้นายเอ๋ไปพบกับตำรวจ ที่ สภ.บ้านเป็ด และพี่สาวก็แจ้งความในวันเดียวกัน

วอนล่าตัว! อ้างเป็นทนายความ หลอกเอาเงินชาวบ้านเกือบแสนบาท

 

นางสาวฟ้า กล่าวอีกว่า ขณะที่ให้ปากคำกับตำรวจนั้น นายเอ๋ รับสารภาพว่า ปลอมเป็นทนายความหลอกเอาเงินจากตนจริง และขอชดใช้คืนในวันที่ 25 ตุลาคม 2564   เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงให้ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันตกลงกัน ในเรื่องของการชดใช้เงินคืน  เมื่อนายเอ๋ รับปาก พี่สาวจึงยอมเชื่อใจและแยกย้ายกัน ต่อมาเมื่อถึงวันที่ 25 ตุลาคม 2564 นายเอ๋ ได้โทรศัพท์แจ้งกับตำรวจว่า บิดากู้เงินแล้วยังไม่ได้ ขอเลื่อนไปเป็นวันที่ 27 ตุลาคม 2564 ก่อนจะติดต่อไม่ได้ และก็หายตัวไป  กระทั่งวันที่ 8 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา นายเอ๋ ติดต่อมาว่าจะคืนเงินให้ทั้งหมด  โดยนัดเจอกันที่บ้านท่าพระ ต.ท่าพระ อ.เมือง จ.ขอนแก่น แต่ถึงเวลานัด นายเอ๋ ก็บอกว่าไม่มี จึงทำใจขอคืนเพียง 50,000 บาท อีก 40,000บาท ยกให้ แต่นายเอ๋ ก็บอกว่าไม่มี 

 

จากนั้นจึงพากันเดินทางไปหาพ่อแม่นายเอ๋ ที่บ้านพระบุ ต.พระบุ อ.พระยืน จ.ขอนแก่น เพื่อพูดคุยในสิ่งที่นายเอ๋ ปลอมเป็นทนายความหลอกเอาเงินไป  ซึ่งพ่อแม่ไม่สามารถจัดการให้ได้  จึงร้องเรียนต่อสื่อมวลชน  เพื่อเตือนให้ประชาชนได้ระวังอันตรายจากนายเอ๋  เพราะเท่าที่ทราบ นายเอ๋มีพฤติกรรมหลอกลวงชาวบ้านไปทั่ว  และอยากเรียกร้องให้ตำรวจเร่งทำการสืบสวนสอบสวนเอาตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว  เพราะเชื่อว่า นายเอ๋ คงไม่หยุดที่จะก่อเหตุอีก  ซึ่งขณะนี้หายตัวไป ไม่สามารถติดต่อได้ คาดว่าจะไปก่อเหตุกับชาวบ้านรายอื่นๆ อีก

วอนล่าตัว! อ้างเป็นทนายความ หลอกเอาเงินชาวบ้านเกือบแสนบาท


ข่าวโดย – กฤศเมธ โลโห

logoline