ผลพวงจากโพลล์คนกทม.ของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) ที่สร้างเซอร์ไพร์ซ คะแนนนิยมหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปอันดับหนึ่ง ล่าสุดทำให้ ศาสตราจารย์ ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ ประกาศลาออกจากที่ปรึกษา ศูนย์วิจัยและพัฒนาการสื่อสารการเมืองและสังคม มสธ.
ศาสตราจารย์ ธีรภัทร์ ได้โพสต์ลงเพจเฟซบุ๊ก “Thirapat Serirangsan” มีเนื้อหาระบุว่า..
“เพื่อรักษาภาพลักษณ์ขององค์กรที่ผมเคยอยู่มานานถึง 36 ปี คือมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และจุดยืนของความสุจริตและความเที่ยงตรงทางวิชาการที่ยึดมั่นมาโดยตลอดครับ ”
พร้อมกันนี้ได้แนบภาพจากการสนทนาในไลน์แอปพลิเคชัน มีเนื้อหาดังนี้..
เรียน ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการสื่อสารการเมืองและสังคม
อันสืบเนื่องมาจากการจัดทำโพล สำรวจความคิดเห็นของประชานในกรุงเทพมหานคร เกี่ยวกับ “ประชาชนในกรุงเทพมหานคร ต้องการผู้นำที่มีคุณลักษณะแบบใด เพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปและคุณลักษณะพรรคการเมืองแบบใดที่ผู้นำสังกัดหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ”
ผมขออนุญาตลาออกจากการเป็น ที่ปรึกษาของศูนย์วิจัยและพัฒนาการสื่อสารการเมืองและสังคม มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช นับ ตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2564 เป็นต้นไป จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนับถือ
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์
6 พฤศจิกายน 2564
หมายเหตุ หนังสือลาออกตัวจริงจะจัดส่งไปยังสาขาวิชานิเทศศาสตร์ มสธ. ต่อไป
สำหรับ ศาสตราจารย์ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ จบการศึกษาระดับปริญญาเอกจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เริ่มทำงานด้วยเป็นนักข่าวที่หนังสือพิมพ์สยามรัฐ และเป็นผู้ก่อตั้ง บรรณาธิการนิตยสาร "สู่อนาคต" ซึ่งเป็นนิตยสารรายสัปดาห์ที่ได้รับรางวัลดีเด่นสำหรับเยาวชนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมเยาวชนแห่งชาติ เมื่อปี 2524
หลังจากนั้นจึงเข้ารับราชการเป็นอาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จนกระทั่งได้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์หรือตำแหน่งคณบดี ส่วนตำแหน่งอื่นๆที่สำคัญในมหาวิทยาลัย ได้แก่ ผู้ช่วยอธิการบดี ผู้อำนวยการสำนักการศึกษาต่อเนื่อง เป็นต้น
นอกจากนั้นเคยได้รับเลือกเป็นนายกสมาคมรัฐศาสตร์แห่งประเทศไทย 2 สมัย เป็นกรรมการวิชาการ สถาบันพระปกเกล้า กรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มีผลงานวิจัยหลายชิ้นอันเป็นที่มาของการปฏิรูปการเมืองไทยหลายประการ อาทิ การจัดตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา เป็นต้น