ฝูงชนที่รื่นเริงยินดี พากันมาเฉลิมฉลองที่ด้านนอกเรือนจำในเมียนมาเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากเมื่อวันอังคาร ( 19 ตุลาคม 2564) ในช่วงที่รัฐบาลทหารยังคงเดินหน้าปล่อยตัวผู้ต่อต้านรัฐประหารที่ถูกคุมขังต่อไป
การปล่อยตัวดังกล่าวมีขึ้นหลังการประกาศนิรโทษกรรม เมื่อวันจันทร์ของผู้นำรัฐบาลทหาร
ที่เรือนจำ "อินเส่ง" อันเลื่องชื่อในเมืองย่างกุ้ง ขบวนรถบัสที่ออกมาจากประตูคุก ต้องค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านกลุ่มประชาชน เพื่อนฝูงและญาติที่อยู่ในอาการร่าเริง และกรีดร้องด้วยความยินดี รวมถึงยื่นดอกไม้ให้กับอดีตนักโทษผ่านทางหน้าต่างรถที่เปิดอยู่
สมาชิกในครอบครัวต่างก็สวมกอดและร้องไห้ เมื่อช่วงเวลาหลายเดือนของความไม่แน่นอนที่ตึงเครียดได้หายไปในทันที
อดีตผู้ถูกคุมขังคนหนึ่งร้องไห้ ขณะที่เธอยืนอยู่นอกกำแพงคุก และพูดกับลูกสาวของเธอผ่านทางโทรศัพท์
“แม่ของเธอหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานแล้ว ลงมารอแม่ที่ชั้นล่างนะ ลูกสาวของฉัน แม่เป็นอิสระแล้ว”
ฉากที่คล้ายๆ กันนี้ ก็เกิดขึ้นเมื่อคืนวันจันทร์ เมื่อมีการปล่อยตัวนักโทษครั้งแรกเริ่มขึ้น!!
ส่วนที่คุกเนียงอู ในเมืองมัณฑะเลย์ อดีตนักโทษการเมืองหลายสิบคนก็ได้พบกับครอบครัว หลังได้รับการปล่อยตัว
การนิรโทษกรรมครั้งนี้ ครอบคลุมผู้คนหลายพันคนที่ถูกจับในข้อหาเข้าร่วมกิจกรรมต่อต้านรัฐบาล เพื่อประท้วงการยึดอำนาจการปกครองของฝ่ายทหาร
ทางการบอกว่า อดีตนักโทษการเมืองมากกว่า 5,600 คน จะได้รับอิสระ
เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่กี่วันหลังจากที่กลุ่มอาเซียนปฏิเสธที่จะเชิญ พล.อ.อาวุโส มิน ออง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหาร เข้าร่วมการประชุมสุดยอดของกลุ่ม แม้ว่าเมียนมาร์จะเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่มีสมาชิก 10 ประเทศก็ตาม
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนถึงความไม่พอใจของอาเซียนที่พยายามหาทางออกจากวิกฤติที่ครอบงำประเทศนับตั้งแต่กองทัพโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์
ทอม แอนดรูว์ ผู้เขียนรายงานพิเศษสำหรับสหประชาชาติ ออกมาแสดงยินดีกับการปล่อยตัวนักโทษ แต่บอกว่าเรื่องนี้ "ไม่ใช่เพราะเปลี่ยนใจ แต่เป็นเพราะแรงกดดัน"
สมาคมช่วยเหลือผู้ต้องขังทางการเมืองระบุว่ามีผู้ถูกจับกุมอย่างน้อย 9,043 คนนับตั้งแต่การเข้ายึดอำนาจ และ 7,355 คนถูกควบคุมตัวตอนที่มีการประกาศนิรโทษกรรม
นักข่าว คนดัง และผู้มีอิทธิพลทางอินเทอร์เน็ตก็ได้รับประโยชน์จากการนิรโทษกรรมดังกล่าว รวมถึงซากะนา ตลกชื่อดัง แต่นักโทษการเมืองคนสำคัญ เช่น อองซานซูจี ยังคงถูกควบคุมตัว ขณะที่โฆษกพรรคของเธอได้รับการปล่อยตัว
ขณะเดียวกัน
อ่อง นาย อู รัฐมนตรีกระทรวงการลงทุนและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจต่างประเทศ เปิดเผยว่า
ทางการกำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินจ๊าตและสนับสนุนเศรษฐกิจ ท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่รัฐประหาร พร้อมกับกล่าวโทษว่าวิกฤตส่วนหนึ่งเกิดจากผู้สนับสนุนต่างชาติของฝ่ายตรงข้าม
ค่าเงินจ๊าต ได้หายไปมากกว่า 60% ในเดือนกันยายน หลังจากประเทศต้องพบเจอกับสภาวะการประท้วง การผละงาน และเศรษฐกิจเป็นอัมพาตมานานหลายเดือน
อัตราเงินเฟ้อก็เพิ่มสูงขึ้นเป็น 6.51% นับตั้งแต่ที่กองทัพเข้ายึดอำนาจ จากระดับ 1.51% ก่อนหน้านี้ ขณะที่เงินทุนสำรองต่างประเทศอยู่ที่ 11 ล้านล้านจ๊าต หรือ 6 พัน 40 ล้านดอลลาร์ ตามอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการของธนาคารกลาง
ครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่เมียนมาเปิดเผยยอดของเงินตราต่างประเทศนับตั้งแต่มีการทำรัฐประหาร
เมื่อถูกถามว่าประเทศใดสนับสนุน "การก่อวินาศกรรมทางเศรษฐกิจ" และมีหลักฐานอะไรบ้าง รัฐมนตรีปฏิเสธที่จะระบุโดยตอบเพียงว่า "เราได้รับหลักฐานจำนวนหนึ่งที่แสดงว่าพวกเขาเข้ามายุ่งเกี่ยวอย่างไร"