9 ตุลาคม 2564 นายแพทย์ สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยแผนการเปิดเรียนว่า ในช่วง2-3 เดือนก่อนหน้านี้ ได้มีการนำร่องแนวทาง แซนบล็อค เซฟตี้โซน ในโรงเรียนประจำ 68 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งได้ผ่านเกณฑ์การประเมิน มีการทำตามมาตรการหลักในการเปิดเรียนอย่างปลอดภัย โดยไม่พบการแพร่ระบาดติดเชื้อที่เป็นวงกว้าง ส่วนใหญ่พบการติดเชื้อ1-2 คน ซึ่งสามารถจำกัดวงการแพร่ระบาดได้ จากมาตรการในโรงเรียนประจำ จึงนำมาสู่มาตรการในโรงเรียนแบบไป-กลับ ที่คาดการณ์ว่าอาจจะเปิดเรียน เทอม2 ในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้
สำหรับ 7 มาตรการหลัก หากต้องเปิดเรียน คือ สถานศึกษาประเมินความพร้อมเปิดเรียนผ่านไทยสต๊อปโควิด(Thai Stop covid) รายงานการติดตามประเมินผล / การทำกิจกรรมร่วมกันเน้นรูปแบบ Small Bubble (กลุ่มเล็ก) / การจัดระบบให้บริการอาหารตามหลักสุขาภิบาลและหลักโภชนาการ / การจัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมให้ได้เกณฑ์มาตรฐาน/ จัดให้มี School isolation แผนเผชิญเหตุ หากพบการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อน/ ควบคุมดูแลการเดินทางไปกลับของนักเรียน เช่น รถรับส่งรถส่วนบุคคล และพาหนะโดยสารสาธารณะ / จัดให้มี School Pass สำหรับนักเรียน ครูและบุคลากรในสถานศึกษา ประกอบด้วย ข้อมูลผลการประเมินของครูและนักเรียน ผลการตรวจ ATK ภายใน 7 วัน ประวัติการรับวัคซีน
โดยมองว่า การเปิดเรียนเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากการปิดเรียนนาน การให้เด็กเรียนออนไลน์อยู่ที่บ้าน อาจส่งผลถึงประสิทธิภาพการเรียน และพัฒนาการของเด็ก เพราะฉะนั้นการเปิดเรียนในอนาคต จึงต้องควบคู่กับมาตรการทางด้านสาธารณสุขอย่างเข้มงวด รวมถึงมาตรการส่วนบุคคลที่จะถูกนำมาใช้ภายในสถานศึกษา ซึ่งหากเปิดเรียนโดยการที่จะไม่ให้มีการติดเชื้อเลย คงเป็นเรื่องยาก แต่หากพบการติดเชื้อแล้ว จะต้องมีมาตราการรองรับ และทำให้การติดเชื้อน้อยที่สุด
โดยเฉพาะพื้นที่สีแดง และสีแดงเข้มพื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่สีแดง ที่ต้องคงมาตรการสาธารณสุขอย่างเข้มงวด แต่ต้องเพิ่มในมาตรการด้านสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียนและโดยรอบโรงเรียนด้วย เช่น สถานประกอบกิจการ กิจกรรมรอบรั้วสถานศึกษาในระยะ 10 เมตร ต้องผ่านการประเมินความเสี่ยง Thai Stop Covid Plus และ Covid free setting
สำหรับ School Pass คือ แบบประเมินความเสี่ยง สำหรับเด็กนักเรียนครูและบุคลากร มีผลการตรวจเชื้อ ATK หรือประวัติการได้รับวัคซีน หรือประวัติที่เคยติดเชื้อในช่วง 1-3 เดือน / หากจะเปิดเรียน ต้องจัดกลุ่มนักเรียนต่อห้องเรียนขนาดปกติไม่เกิน 25 คน / ตรวจ ATK 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ / ครูบุคลากรต้องได้รับวัคซีนร้อยละ 85 ถึง 100 เปอร์เซ็นต์
สำหรับการรับวัคซีนในเด็กอายุ12-18 ปี ตอนนี้ทยอยฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่อง ส่วนเด็กนักเรียนและครอบครัวที่ไม่มีความประสงค์จะรับวัคซีนนั้น นพ.สราวุฒิ บอกว่า ยังคงมาเรียนได้ตามปกติ แต่อาจจะมีการประเมินความเสี่ยงตามระบบ
ขณะที่สถานศึกษาเด็กปฐมวัย อนุบาลถึงประถม 6 ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนนั้น ให้สถานศึกษาคุมเข้มมาตรการด้านสาธารณสุข และมาตราส่วนบุคคล ตามคำแนะนำ แต่บุคลากรในสถานศึกษาควรได้รับวัคซีนตามที่กำหนด
ทั้งนี้การติดเชื้อในเด็กส่วนใหญ่ อาการจะน้อย ไปจนถึงไม่แสดงอาการ โดยพบว่า ส่วนใหญ่จะติดเชื้อมาจากคนใกล้ชิดภายในครอบครัว เพราะฉะนั้นการที่ผู้ปกครอง หรือบุคลากรทางการศึกษาได้รับวัคซีนโควิดที่ครอบคลุมจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งในส่วนนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้พยายาทเร่งฉีดวัคซีนในกลุ่มนี้ให้ได้มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม การรับวัคซีนโควิด-19ไม่ได้หมายความจะป้องกันการติดเชื้อได้ร้อยเปอร์เซ็น แต่ทำให้ความรุนแรงของโรคลดลง ซึ่งต้องทำควบคู่ไปกับมาตรการส่วนบุคคลที่ยังต้องเข้มงวดต่อไป
สำหรับยอดติดเชื้อโควิด19 ในเด็กอายุ 0-19 ปี ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน-30 กันยายน มีผู้ป่วยสะสม 222,188 ราย / เพศชาย 111,069 ราย คิดเป็นร้อยละ 49.97 / เพศหญิง 105,156 ราย คิดเป็นร้อยละ47.32 / ไม่ระบุ 5,963 ราย / จำแนกอายุ 0-6 ปี 60,928 ราย / อายุ 7-12 ปี 65,889 ราย / และ 13-19 ปี 95,371 ราย