svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

จีนขาดแคลนไฟฟ้าหนัก คาดฉุดการเติบโตเศรษฐกิจ

28 กันยายน 2564
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

จีนกำลังประสบวิกฤตขาดแคลนไฟฟ้าในแหล่งอุตสาหกรรมทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จนต้องตัดไฟ กระทบต่อการดำเนินชีวิตและการดำเนินธุรกิจ ทำให้สถาบันการเงินต่างชาติทยอยปรับลดตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนแล้ว

ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาพื้นที่ใน 16 มณฑลของจีนเผชิญปัญหาขาดแคลนไฟฟ้าจนต้องออกมาตรการปันส่วนกระแสไฟฟ้า ทำให้ต้องตัดไฟบางช่วงเวลา ส่งผล อย่างหนักต่อภาคอุตสาหกรรมและชีวิตประจำวันของประชาชนทั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  และอีกหลายมณฑลในภูมิภาคอื่น เช่น มณฑลเจียงซูในภาคตะวันออก และมณฑลกวางตุ้งในภาคใต้

 

เมื่อวันจันทร์ต้องมีการตัดไฟใน 3 มณฑลทางตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ เหยหลงเจียง จี้หลิน และเหลียวหนิง อย่างไม่ทันคาดคิดและไม่เคยปรากฏมาก่อน การตัดไฟในย่านชุมชนโดยไม่แจ้งล่วงหน้า สร้างความโกรธเคืองให้กับประชาชน ที่หันไปโพสระบายความไม่พอใจผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆนานาว่า เครื่องทำความร้อน ลิฟต์และบันไดเลื่อน และสัญญาณไฟจราจรไม่สามารถใช้งานได้

 

และมาตรการตัดไฟเกือบตลอดทั้งวัน ทำให้หลายบริษัทต้องเปลี่ยนเวลาการผลิตเป็นช่วงกลางคืน  ลดการผลิตหรือหยุดการผลิตทั้งหมด กระทบต่อการจัดส่งสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ และอาจประสบภาวะขาดทุนอย่างหนัก

 

จีนขาดแคลนไฟฟ้าหนัก คาดฉุดการเติบโตเศรษฐกิจ

 

 

นักวิเคราะห์ชี้ว่า การขาดแคลนไฟฟ้าเป็นผลมาจากปัจจัยเรื่องการขาดแคลนถ่านหิน ราคาถ่านหินพุ่งสูงขึ้น บวกกับความต้องการถ่านหินเพิ่มสูงขึ้น และการเพิ่มเกณฑ์เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เข้มงวดขึ้น  นอกจากนี้นักวิเคราะห์ เตือนด้วยว่า จีนเสี่ยงขาดแคลนไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น จะทำให้ภาคการผลิตชะลอตัวลง และอัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้น

 

ล่าสุดมีเสียงเรียกร้องจากทางการท้องถิ่นให้นำเข้าถ่านหินเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้สามารถผลิตไฟฟ้าได้เพียงพอกับความต้องการที่จะเพิ่มสูงขึ้นอีกในช่วงฤดูหนาว โดยผู้ว่าการมณฑลจี้หลินเรียกร้องให้จีนนำเข้าถ่านหินจากรัสเซีย มองโกเลีย และอินโดนีเซีย

 

 

ขณะเดียวกันโกลด์แมน แซคส์ เป็นสถาบันการเงินรายล่าสุดที่ออกมาปรับลดตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนสืบเนื่องจากปัญหาการแคลนพลังงานและวิกฤตไฟดับ โดยคาดว่า กิจกรรมทางอุตสาหกรรม 44% ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนไฟฟ้า และมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพีในปีนี้จะขยายตัวเพียง 7.8% ลดลงจากการคาดการณ์ไว้ที่ 8.2% 

logoline