28 กันยายน 2564 จากสถานการณ์น้ำท่วมจากอิทธิพลของพายุ "เตี้ยนหมู่" ทำให้ประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนตกหนักถึงหนักมากในบางพื้นที่ของภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานสถานการณ์น้ำท่วม มี 27 จังหวัด รวม 120 อำเภอ 417 ตำบล 1,933 หมู่บ้าน 1 เขตเทศบาล ประชาชนได้รับผลกระทบ 58,977 ครัวเรือน สถานการณ์คลี่คลายแล้ว 4 จังหวัด อีก 23 จังหวัด อยู่ระหว่างการเร่งระบายน้ำ
มหาอุทกภัย ปี 2554
ย้อนไปปี 2545 นับจากวันที่ 25 ก.ค.น้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือ และแผ่ขยายวงกว้างครอบคลุมพื้นที่ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือรวมทั้งสิ้น 64 จังหวัด ซึ่งเป็นอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์เท่าที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยในรอบ 100 ปี
ส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชนเป็นจำนวนมหาศาล ทั้งภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และบ้านเรือนของประชาชน รวมถึงหน่วยงานและธุรกิจการค้าต่างๆ ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก โดยมีประชาชนได้รับความเดือดร้อนกว่า 13 ล้านคน รวมกว่า 4 ล้านครัวเรือน
เสียหาย 1.4 ล้านล้านบาท
สถานการณ์รุนแรงขึ้นตามลำดับ จนเข้าสู่ช่วงวิกฤติสูงสุด ในเดือน ต.ค. โดย “น้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรม” เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ จำนวน 7 แห่ง ในจังหวัดอยุธยา และปทุมธานีประเมินค่าความเสียหายของโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมอยู่ที่ 2.4 แสนล้านบาท และโรงงานนอกนิคมอุตสาหกรรมอยู่ที่ 2.4 แสนล้านบาท ไม่เพียงภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร ทีพื้นที่ได้รับความเสียหาย 11.4 ล้านไร่
สมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้จัดการ “ค่าสินไหมทดแทน” กรณีมหาอุทกภัย ปี 2554 กว่า 4 แสนล้านบาท โดยความเสียหายจากน้ำท่วมในครั้งนี้สูงถึง 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ความเสียหายที่ผู้เอาประกันภัยเรียกร้องจำนวน 91,099 ราย มีจำนวนเงินเอาประกันภัยรวม 410,421,799,544.46 บาท
บทเรียน “น้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรม”
“นายอานนท์ วังวสุ” นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้ติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด และแจ้งเตือนผู้เอาประกันภัย รวมถึงผู้ประกอบการ และประชาชนทั่วไป ให้เตรียมการรับมือกับภัยน้ำท่วม เป็นห่วง “นิคมอุตสาหกรรม” ให้ป้องกันดูแลพื้นที่ตัวเองให้ดี อย่าซ้ำรอยปี 2554
“ความคุ้มครองในกรมธรรม์ประกันภัยภายหลังน้ำท่วม 2554 ได้มีการปรับเปลี่ยนไปจากเดิม ความคุ้มครองภัยธรรมชาติจากน้ำท่วม ลมพายุ และแผ่นดินไหวที่มีอยู่ในปัจจุบันอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากผู้เอาประกันภัยอาจไม่ได้ทำประกันภัยเพื่อคุ้มครองภัยธรรมชาติไว้เต็มมูลค่าของทรัพย์สิน ส่งผลทำให้ผู้เอาประกันภัยต้องรับความเสี่ยงไว้เองสูงขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นการดำเนินการเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากภัยน้ำท่วมจึงเป็นสิ่งที่ผู้เอาประกันภัยรวมถึงผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปควรต้องมีการเตรียมพร้อมตั้งแต่ตอนนี้”
นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เป็นกังวล คือ “นิคมอุตสาหรกรรม” จากกรณีน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมบางปู จ.สมุทรปราการ ฝนตกหนักจนระบายน้ำไม่ทัน
“อยากฝากเตือนกรมอุตสหากรรม ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชิณวัตร ให้เงินช่วยเหลือสร้างแนวป้องกันน้ำท่วม อยากให้มาสำรวจว่ายังแข็งแรงดีไหม กับปัญหาน้ำท่วมที่เกิด เรามัวแต่ป้องกันน้ำจากข้างนอกเข้ามา ปัญหาฝนตกเราห้ามไม่ได้ แล้วฝนตกลงข้างในเอาออกทันไหม อยากให้ดูเรื่องการระบายน้ำภายในด้วย เหมือนตอนน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมบางปู ประตูระบายนำตรงสุวรรณภูมิไม่ได้เปิดให้ออก
การเตรียมการ ควรพยากรณ์ล่วงหน้าได้แล้ว ระบายน้ำสู่คลองใหญ่ ต้องเริ่มจากนิคมออกไปทางไหนที่ลงทะเลให้ไวที่สุด อย่ามั่วกลัวน้ำข้างนอกจะเข้า ตอนนี้ทุกฝ่ายต้องตื่นตัวแล้ว ประเทศไทยโดนอะไรอีกไม่ไหวแล้ว ปัญหาเราไม่ได้มีด้านเดียว ”
นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย หยิบยกสถานการณ์จากต่างประเทศ อาทิ น้ำท่วมสูงทั่วพื้นที่ "นครนิวยอร์ก" ต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน ระบบขนส่งสาธารณะหยุดให้บริการชั่วคราว ทั้งสนามบิน รถไฟฟ้าใต้ดิน และถนนเสียหาย เมื่อต้นเดือน ก.ย. หรือ ฝนตกหนักทำให้น้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่หลายส่วนของกรุงลอนดอน เมืองหลวงอังกฤษ สถานีรถไฟใต้ดินมีน้ำท่วมขัง
เป็นผลของปรากฏการณ์ “เอลนีโญ และลานีญา” การเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศที่เกิดขึ้น ส่งผลทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในหลากหลายประเทศ และก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นมูลค่าที่สูงมากในปีนี้
โดยน้ำท่วมที่เกิดขึ้นที่เยอรมัน ในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา คาดว่าจะก่อให้เกิดความเสียหายมูลค่ากว่า 30,600 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนกว่า 8,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่น้ำท่วมที่มณฑลเหอหนานในประเทศจีนเนื่องมาจากฝน 1,000 ปี ก่อให้เกิดความเสียหายกว่า 20,630 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนกว่า 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ
จะเห็นได้ว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากภัยน้ำท่วมในแต่ละเหตุการณ์นั้น มีทรัพย์สินเพียงส่วนน้อยที่ได้มีการทำประกันภัยรองรับเอาไว้ โดยผลการศึกษาในเรื่องดังกล่าวของ Fitch Ratings แสดงให้เห็นว่า ความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากภัยธรรมชาติในทวีปเอเชียที่ไม่ได้มีการทำประกันภัยไว้ อาจมีมูลค่าสูงถึง 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
“ที่ผ่านมาเรากังวลกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งน้ำท่วมทำให้เราอยู่ยากลำบากขึ้นแน่นอน การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่งขึ้น สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากอยู่เป็นประจำ ในพื้นที่ลุ่มต่ำ ผมกังวลใจตั้งแต่เห็นน้ำท่วมรถไฟใต้ดินที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ไม่ได้อยากประชาชนตื่นตกใจ เรากำลังทุกข์กับโควิด แต่ก็พยายามออกมาเตือนเป็นระยะ ว่าจะเกิดมีโอกาสเกิดน้ำท่วม
แต่ในกรุงเทพฯ ยังไม่น่าเป็นห่วง น้ำในเขื่อนใหญ่ยังไม่มีปริมาณสูงมาก แสดงว่าตอนบนฝนยังไม่เต็มที่ ไม่เหมือนน้ำท่วมปี54 แต่ลักษณะฝนมาจากฝนตกหนักบางพื้นที่ อย่างพื้นที่ท่วม เพชรบูรณ์ หล่มสัก สุโขทัย พิจิตร พิษณุโลก เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำท่วมประจำ เขาใหญ่ปากช่องมาแป๊บเดียวอยู่ที่สูง มี จ.ชัยภูมิ ที่แปลกมาหน่อย ที่อื่นไม่มีอะไรเกิดความคาดหมาย เหมือนพัทยาใต้ 2 วันน้ำก็หมด ”
ท้ายสุด เนื่องจากธุรกิจประกันวินาศภัยถือเป็นธุรกิจที่ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารความเสี่ยงให้กับระบบเศรษฐกิจและสังคมไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทยจึงขอแจ้งเตือนผู้เอาประกันภัย ซึ่งเป็นลูกค้า รวมถึงประชาชนโดยทั่วไป และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ในการเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกัน และรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อลดความสูญเสียที่จะเกิดต่อระบบเศรษฐกิจและประชาชนโดยรวม