31 สิงหาคม 2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติงบประมาณ 4,745 ล้านบาท จัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์ หรือ Pfizer จำนวน 9,998,820 โดส โดยมั่นใจว่าประเทศไทย จะบรรลุเป้าหมายการจัดหาวัคซีนจำนวน 100 ล้านโดสในปีนี้ โดยกลุ่มเป้าหมายมีจำนวน 6 กลุ่ม ประกอบด้วย...
โดยจากงบเงินกู้ตามพระราชกำหนดเพิ่มเติมพ.ศ. 2564 ภายใต้แผนหรือโครงการเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในการจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ยารักษาโรควัคซีนและการวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนภายในประเทศ ระยะเวลาดำเนินการ 4 เดือน ตั้งแต่กันยายน-ธันวาคม 2564
ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี ขออนุมัติจัดซื้อวัคซีนไปแล้วจำนวน 80 ล้านโดส วงเงิน 22,990 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น การจัดซื้อวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 61 ล้านโดส วัคซีนซิโนแวค 19 ล้านโดส และ วัคซีนไฟเซอร์ 20 ล้านโดส
จากการตรวจสอบพบว่า คณะอนุกรรมการฯ มีข้อสังเกตในเรื่องการบริหารจัดการโครงการเพิ่มเติมงบรายจ่าย รายการค่าขนส่งวัคซีนโควิดไฟเซอร์ (Pfizer) ภายในประเทศ ภายใต้โครงการที่เสนอในครั้งนี้มีราคาต่อหน่วยสูงกว่ากรณีของโครงการจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ 20 ล้านโดส ที่เพิ่งได้รับอนุมัติก่อนหน้านี้เล็กน้อย ทั้งที่เป็นโครงการจัดหาวัคซีนประเภทเดียวกันและจะต้องดำเนินการขนส่งในช่วงเวลาใกล้เคียงกันกลุ่ม จึงควรพิจารณาปรับปรุงงบรายจ่ายรายการดังกล่าวให้สอดคล้องกันเพื่อการใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
โดยปรับแผนการเบิกจ่ายค่าขนส่งวัคซีนให้สอดคล้องกับแผนการจัดหาวัคซีน เพื่อให้การจัดหาวัคซีนสอดคล้องกับข้อเท็จจริงและปรับลดค่าขนส่งวัคซีนต่อหน่วยจาก 42.7329 บาท เป็น 42.1932 บาท หรือลดลง 0.5297 บาทเพื่อให้สอดคล้องกับอัตราค่าขนส่งวัคซีนรอบที่หนึ่ง ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2564
นอกจากนี้ยังให้ กรมควบคุมโรค พิจารณาทำสัญญาและวางแผนการบริหารจัดการความเสี่ยงในการดำเนินโครงการกรณีที่ไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผนที่กำหนด เช่น กรณีไม่ได้รับการส่งมอบวัคซีนภายในระยะเวลาที่ระบุกรณีที่อาจมีการเลื่อนการจัดส่งจนทำให้มีวัคซีนจำนวนมากที่อยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งอาจเป็นปัญหาและต้นทุนในการเก็บรักษา
หากไม่สามารถกระจายและฉีดวัคซีนได้ทันและกรณีที่มีวัคซีนรุ่นใหม่ก่อนการส่งมอบวัคซีนที่ได้จัดซื้อไว้ให้สามารถเปลี่ยนเป็นวัคซีนรุ่นใหม่ได้ทั้งนี้เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการดำเนินการตามแผนบริหารวัคซีนของประเทศ
รวมทั้งยังเห็นควรมอบหมายให้กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการดำเนินการจัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือนเพื่อให้สามารถจัดหาเงินกู้เพื่อใช้จ่ายโครงการตามการตามแผนการใช้เงินที่เกิดขึ้นจริงซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายทางการเงินของภาครัฐ
ขอบคุณข้อมูล : ฐานเศรษฐกิจ