31 สิงหาคม 2564 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ลงนามกฎกระทรวงฉบับที่ ๓๗๗ (พ.ศ.๒๕๖๔) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับเอกสารหลักฐานและทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับผู้ประกอบการที่ได้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งผู้ประกอบการที่ให้บริการอิเล็กทรอนิกส์แพลตฟอร์มจากต่างประเทศ เพื่อกำหนดวิธีการดำเนินงานในการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ (e - Service) ของกรมสรรพากร ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ทางกฎหมายในวันที่ 1 ก.ย.นี้
“ภาษี e - Service นี้ มีการดำเนินการในขั้นตอนของกฎหมายมากกว่า 2 ปี จนได้รับการอนุมัติเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 และให้เริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนหน้านี้ โดยกฎกระทรวงฯ จะกำหนดให้ผู้ประกอบการต่างประเทศที่ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์แก่ผู้ใช้บริการที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทย และมีรายได้จากการให้บริการเกิน 1.8 ล้านบาท จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบงานภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ (VAT for Electronic Service : VES) บนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร และยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมชำระภาษีเป็นรายเดือน ภายในวันที่ 23 ในเดือนถัดไป
โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการต่างประเทศลงทะเบียนเพื่อขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มบนเว็บไซต์ของกรมสรรพากรแล้วมากกว่า 50 ราย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ผู้ให้บริการต่างประเทศมีความตื่นตัวและพร้อมจะปฏิบัติตามกฎหมายภาษี e - Service ของไทยด้วยดี โดยไทยเป็นหนึ่งใน 60 กว่าประเทศทั่วโลกที่ได้เริ่มดำเนินการเก็บภาษีประเภทนี้”
สำหรับธุรกิจที่ต้องมาจดทะเบียนและดำเนินการทางภาษี
แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย
1.ธุรกิจให้บริการแพลตฟอร์มสำหรับขายของออนไลน์
2.ธุรกิจให้บริการโฆษณาออนไลน์
3.ธุรกิจให้บริการจองโรงแรมที่พักและการเดินทาง
4.ธุรกิจให้บริการเป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย
5.ธุรกิจให้บริการสมาชิกดูหนังฟังเพลงออนไลน์ เกมส์ และแอพพลิเคชั่นต่างๆ
“ภาษี e - Service นี้ ช่วยสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่างชาติ ที่ผ่านมาผู้ประกอบการไทยที่ทำธุรกิจบริการออนไลน์ จะต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ในขณะที่ผู้ประกอบการต่างชาติไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
นอกจากทำให้เกิดความเป็นธรรมในการแข่งขันแล้ว ภาษี e - Service จะเป็นการเพิ่มรายได้ทางหนึ่งให้กับประเทศ ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2565
และในอนาคตจะทำให้ประเทศไทยมีฐานข้อมูลรายได้ของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่างชาติ ที่จะสามารถนำไปใช้ในการคำนวณเป็นฐานภาษีใหม่ที่น่าจะเป็นรายได้อีกทางหนึ่งของประเทศไทยในอนาคต
กฎกระทรวงฯ ดังกล่าว ยังกำหนดวิธีการดำเนินการจัดเก็บภาษี e - Service ตั้งแต่กระบวนการจดทะเบียนในระบบ VES การติดต่อระหว่างกรมสรรพากรและผู้ประกอบการจากต่างประเทศ การจัดทำ ส่ง รับ เก็บรักษาเอกสาร การยื่นแบบและชำระ
ภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบ Internet โดยการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการ e - Service จากต่างประเทศ ที่จดทะเบียนตามกฎกระทรวงฯ นี้ จะชำระภาษีมูลค่าเพิ่มจากฐานการให้บริการแก่ผู้ใช้บริการในไทยที่ไม่ได้จดทะเบียน VAT (สำหรับผู้ใช้บริการในไทยที่จดทะเบียน VAT อยู่แล้ว ให้ดำเนินการโดยยื่นแบบและชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามแบบ ภ.พ.36 และสามารถนำภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบเสร็จรับเงินของกรมสรรพากรมาหักเป็นภาษีซื้อได้เช่นเดิม )
นอกจากนั้น ผู้ประกอบการ e - Service จากต่างประเทศไม่มีสิทธิออกใบกำกับภาษีและไม่มีสิทธินำภาษีซื้อมาหักออกจากภาษีขาย ทั้งนี้ กรมสรรพากรได้เผยแพร่รายชื่อผู้ประกอบการ e - Service จากต่างประเทศที่ได้จดทะเบียนแล้วบนเว็บไซต์ของ กรมสรรพากร
ผู้ที่สงสัยระบบ VES สามารถหาคำตอบได้ที่นี่
𝗩𝗘𝗦 หรือ VAT for Electronic Service เป็นระบบที่กรมสรรพากรได้จัดทำขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ e-Service จากต่างประเทศ ซึ่งสามารถทำธุรกรรมภาษีต่างๆ ในระบบนี้ได้
☑ จดทะเบียน
จดทะเบียนผ่านระบบ VES คลิก 👉 https://bit.ly/VESregistrations
☑ ยื่นภาษี
เมื่อจดทะเบียนภาษีมูลค่า (P.P. 30.9) ผู้ประกอบการต้องยื่นภาษีทุกเดือน ตั้งแต่วันที่ 1 - 23 ของเดือนถัดไป บนระบบ VES ผ่าน 👉 www.rd.go.th
☑ ชำระภาษี
ชำระภาษีภายในวันที่ 1 - 23 ของเดือนที่ยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม (P.P. 30.9)
การจัดเก็บภาษี e-Service ผ่านระบบ VES ทำให้การจัดเก็บภาษีเป็นไปอย่างโปร่งใส และเป็นธรรม สามารถสร้างรายได้ในการจัดเก็บให้กับประเทศเพิ่มขึ้น อีกทั้งสร้างความเป็นธรรมและความเท่าเทียม ในการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบ e-Service ในประเทศ