หลังการถอนทหารสหรัฐฯ ตาลีบันก็เคลื่อนเข้ายึดครองพื้นที่ทั่วประเทศอัฟกานิสถาน ประธานาธิบดีอัชราฟ กานี หอบเงินสด 169 ล้านดอลลาร์ (5,600 ล้านบาท) หนีไปเสวยสุขที่ดูไบ จีนก็รีบออกตัวแสดงความวิตกขึ้นมาทันทีว่า การกลับมาของตาลีบัน อาจส่งแรงกระเพื่อมไปถึงเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ (XUAR) ที่จีนใช้มาตรการเข้มงวดควบคุมไว้ในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา โดยอ้างเหตุผลว่า เพื่อต่อสู้กับลัทธิหัวรุนแรงและการก่อการร้ายในภูมิภาค โดยเฉพาะขบวนการอิสลามแห่งเตอร์กิสถานตะวันออก (ETIM) ที่เคลื่อนไหวอยู่ในซินเจียง และเป็น "ภัยคุกคามโดยตรงต่อความมั่นคงแห่งชาติ" เพราะมีชาวอุยกูร์เข้าไปเป็นสมาชิก ETIM ทำให้จีนต้องจัดซ้อมรบร่วมกับทาจิกิสถาน ที่มีพรมแดนร่วมกับ XUAR ส่วน XUAR ก็มีพรมแดนติดกับอัฟกานิสถาน
กลุ่ม "World Uyghur Congress" ที่มีฐานอยู่ที่เยอรมนี ระบุว่านับตั้งแต่ปี 2560 ชาวอุยกูร์ตกเป็นเป้าหมายของถูกดูดกลืนอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การบังคับคุมกำเนิดและทำหมัน การบังคับใช้แรงงานในโรงงานและฟาร์ม และการส่งชาวอุยกูร์ 1.8 ล้านคน ไปเข้าเครือข่ายปรับทัศนคติ (internment camps) ที่ยังไม่รวมคุกลับที่ดูไบ โดยอิลชัต ฮัสซัน ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการจีนของ "World Uyghur Congress" ยังยกตัวอย่างการสร้างสถานการณ์ใส่ร้ายอุยกูร์ จากการที่รัฐบาลชุดเก่าของอัฟกานิสถาน ที่สหรัฐฯ สนับสนุน จับชาวจีน 10 คน ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานด้านความมั่นคงของจีน เข้าไปสร้างกลุ่ม ETIM ปลอม เพื่อเคลื่อนไหวในอัฟกานิสถาน
จีนมักจะเหมารวมนักเคลื่อนไหวชาวอุยกูร์ที่ลี้ภัยในต่างแดนว่าเป็นสมาชิก ETIM เพื่อดิสเครดิต ส่วนกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ก็ลบ ETIM ออกจากรายชื่อกลุ่มก่อการร้าย โดยระบุว่า เป็นเวลากว่า 1 ทศวรรษแล้ว ที่ไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่า ยังมีกลุ่มนี้อยู่ แต่ในยุคของรัฐบาลตาลีบัน ที่เกลียดชังสหรัฐฯ และมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะสานสัมพันธ์กับจีน ทำให้เป็นไปได้ว่า ต่อไปจะมีเซลก่อการร้าย ETIM ปลอม ปฏิบัติการต่อต้านจีนอยู่ในอัฟกานิสถาน เพื่อเปิดโอกาสให้ตาลีบันได้ทำตามที่รับปากกับจีนไว้ว่า จะไม่ยอมให้กลุ่มใดเข้าไปเคลื่อนไหวที่เป็นอันตรายต่อจีนบนแผ่นดินอัฟกานิสถาน