ตาลีบันหนุนจีนมีบทบาทสร้างชาติอัฟกานิสถาน

ซูฮาอิล ชาฮีน โฆษกของกลุ่มตาลีบันให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ CGTN ของทางการจีนเมื่อค่ำวันพฤหัสบดี โดยบอกว่า อัฟกานิสถานเพิ่งพ้นจากภาวะสงครามและการทำลายล้าง ตอนนี้กำลังเข้าสู่เฟสใหม่ ประชาชนของอัฟกานิสถานต้องการความช่วยเหลือจากชาติอื่นๆ โดยอยากให้เข้ามาช่วยเหลือฟื้นฟูด้านสาธารณสุข  โครงสร้างพื้นฐาน การศึกษาและอีกหลายด้าน รวมทั้งจะเปิดทางให้ต่างชาติเข้ามาสำรวจทรัพยากรทางธรรมชาติได้ พร้อมกับย้ำว่าเป็นคำเชิญให้ทุกประเทศเข้ามามีส่วนช่วยเหลืออัฟกานิสถาน และยังขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือใดๆในช่วงยากลำบากนี้

นอกจากนี้โฆษกตาลีบัน บอกอีกว่า "จีนเป็นประเทศใหญ่ที่มีเศรษฐกิจและศักยภาพอย่างมาก ผมคิดว่า พวกเขาจะสามารถแสดงบทบาทสำคัญมากๆในการสร้างชาติ การฟื้นฟู และการซ่อมสร้างอัฟกานิสถาน"

ขณะเดียวกันหัว ชุนอิง โฆษกกระทรวงต่างประเทศ แถลงในวันเดียวกันว่า จีนตระหนักดีถึงความระแวงสงสัยของประชาคมโลกต่อตาลีบัน แต่อยากให้มองว่าไม่มีอะไรแน่นอนตายตัว  รวมทั้งบอกว่า เมื่อเผชิญปัญหา ไม่ควรมองว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีต แต่ให้มองด้วยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น และสามารถทำได้ด้วยการฟังสิ่งที่พูด และจับตาดูในสิ่งที่ทำ

นอกจากนี้เธอบอกว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสถานการณ์ในอัฟกานิสถาน บ่งชี้ว่า การประเมินต่ออัฟกานิสถานในอดีตด้วยสายตาโลกภายนอกยังขาดมุมมองเชิงวัตถุวิสัยหรือมุมมองด้วยข้อเท็จจริง และขาดความเข้าใจอย่างแท้จริงเกี่ยวกับความคิดเห็นของประชาชนในอัฟกานิสถาน  เวลานี้ตาลีบันมีเหตุผลและสุขุมมากขึ้นกว่าสมัยที่เคยกุมอำนาจปกครองประเทศครั้งแรก จีนจึงหวังว่าตาลีบันจะปฏิบัติตามคำสัญญาที่ให้ไว้ในช่วงไม่กี่วันมานี้ และเรียกร้องให้ตาลีบันตัดความสัมพันธ์กับกองกำลังกลุ่มก่อการร้ายอื่นๆ

ขณะที่โฆษกตาลิบัน แถลงเมื่อไม่กี่วันนี้ว่า ตาลีบันจะยึดแนวทางสายกลางมากขึ้น คุ้มครองสิทธิสตรีมากขึ้น และนิรโทษกรรมต่อเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลชุดก่อน รวมทั้งพร้อมดำเนินความสัมพันธ์อย่างสันติกับนานาประเทศ

อันโตนิอู กูแตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ บอกด้วยว่า การที่ตาลีบันต้องการการยอมรับจากนานาชาติเป็นเพียงเรื่องเดียวที่จะใช้ต่อรองเพื่อกดดันให้ตาลีบันเคารพสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะสิทธิของสตรีในอัฟกานิสถานได้

นอกจากนี้นสหประชาชาติและองค์กรบรรเทาทุกข์ระหว่างประเทศเรียกร้องให้นานาชาติร่วมลงขันสนับสนุนความช่วยเหลือแก่อัฟกานิสถาน โดยก่อนหน้านี้ยูเอ็นขอระดมเงิน 1,300 ล้านดอลลาร์สำหรับช่วยเหลือประชาชน 16 ล้านคนหรือราวครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศในปีนี้  แต่เพิ่งได้รับบริจาคเพียง 37% เท่านั้น ขณะที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลืออย่างมากสืบเนื่องจากความขัดแย้ง ภัยแล้ง และโควิด-19