นักรัฐศาสตร์หลายคน เช่น ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า วิเคราะห์เกมการเมืองของฝ่ายค้านด้วยกันเอง โดยมองผ่านการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ
1.การยื่นญัตติอภิปรายหนนี้ พรรคเพื่อไทยรู้ดีว่า ไม่มีทางล้มรัฐบาลได้ จึงยื่นอภิปรายเชิงยุทธศาสตร์ ทั้งนายกฯ และรัฐมนตรี 3 พรรคใหญ่
ซึ่งการยื่นซักฟอกแบบนี้ ไม่มีทางล้มรัฐบาลได้ด้วยเสียงในสภา เพราะพรรคร่วมรัฐบาลจะแพ็คเสียงกันเพื่อโหวตให้รัฐมนตรีของพรรคตน ได้คะแนนไว้วางใจ โดยอาศัยเสียงของพรรคร่วมพรรคอื่นด้วย ฉะนั้นงานนี้รัฐบาลผ่านได้แน่ แต่จะผ่านแบบ “บาดเจ็บสาหัส” ระดับไหน ก็ขึ้นกับข้อมูลอภิปรายที่มีอยู่ในมือ
โดยการเลือกอภิปรายแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลหลายๆ พรรค จะทำให้เกิดปัญหาคลางแคลงใจในพรรคร่วมฯด้วยกันเอง ว่ามีการแอบส่งข้อมูลให้ฝ่ายค้านหรือไม่ เช่น กรณีของ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน อาจมีคนในพรรคพลังประชารัฐ ที่ต้องการขึ้นเป็น “รัฐมนตรีว่าการ” สะกิดพร้อมส่งข้อมูลให้ฝ่ายค้านยื่นอภิปรายก็เป็นได้ อย่างนี้เป็นต้น
ขณะเดียวกัน ก็จะเป็นการโจมตีรัฐมนตรีของแต่ละพรรค ว่าไม่มีผลงาน หรือทำให้สถานการณ์ของประเทศเลวร้ายลงไปอีก เพื่อตัดคะแนนหากมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ในเร็ววันนี้ จะเห็นได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ควรถูกยื่นอภิปราย แต่ฝ่ายค้านก็เลือกยื่น เพื่อไม่ให้ภาพพรรคประชาธิปัตย์ดีเกินไป
เนื่องจากตอนนี้คะแนนนิยมกำลังมา เพราะเป็นพรรคที่ลอยตัวสุดในรัฐบาล ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแก้ไขสถานการณ์โควิด จึงไม่มีบาดแผล
2.นอกจากการยื่นอภิปราย จะมียุทธศาสตร์ให้พรรคร่วมรัฐบาลคลางแคลงกันเองแล้ว อีกด้านหนึ่งก็ยังเป็นการอภิปรายแบบ “ไว้เยื่อใย - ไม่แตกหัก” เพราะมองผลประโยชน์ทางการเมืองร่วมกัน ทั้งกับพรรคพลังประชารัฐ และพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่น
- เช่น หากนายกฯลาออก เพื่อไทยอาจต้องจับมือกับพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคเพื่อจัดตั้งรัฐบาล
- สมมติว่าเพื่อไทยไม่เอาภูมิใจไทย เพราะมองว่าคุมกระทรวงที่แก้ปัญหาโควิดไม่ได้ อาจทำให้เสียงไม่พอ จนอาจต้องจับมือกับพรรคพลังประชารัฐด้วย โดยมีเงื่อนไขต้องไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ และแกนนำ 3 ป.ร่วมใน ครม. ใหม่
- การจับมือกับพรรคพลังประชารัฐตรงๆ ก็ยังมีผลประโยชน์ร่วมกันหลายอย่าง ฉะนั้น จึงมีโอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งจับมือแบบเต็มตัว คือ ร่วมรัฐบาลกันเลยในแบบ “ไม่มี 3 ป.” หรือจับแบบ “งูเห่า” ซึ่งทุกวันนี้ก็มีอยู่แล้ว
- การจับมือแบบ “งูเห่า” ก็เพื่อไว้ไมตรี ร่วมมือกันทำบางอย่าง เช่น แก้รัฐธรรนมูญให้เข้าทางพรรคตัวเอง กรณีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ หรือกรณีโอนงบที่ตัดลดจากหน่วยงานต่างๆ ไปไว้ที่ "งบกลาง" ซึ่งนายกฯมีอำนาจใช้จ่าย อย่างนี้เป็นต้น และในการใช้จ่ายนั้น ก็จะมี “ไส้ใน” ที่อาจจะเอื้อกันอีกทีหนึ่ง
-หรือถ้าสุดท้ายมีการยุบสภา เลือกตั้งใหม่ พรรคเพื่อไทยอาจได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลชุดต่อไป ก็อาจต้องจับมือกับพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันบางพรรค
บทสรุปของเกมนี้ก็คือ เพื่อไทยเก๋ากว่าก้าวไกล เพราะมองการเมืองขาด ว่าจุดตายของรัฐบาล คือ แก้โควิดไม่ได้ ไม่ใช่พ่ายเกมในสภา ฉะนั้นสถานการณ์โควิด และเศรษฐกิจจะเป็นตัวชี้อนาคตของรัฐบาล ว่าประชาชนยังเหลือฟางเส้นสุดท้ายอยู่หรือไม่ ซึ่งตรงนั้นต้องใช้สถานการณ์นำหน้า ส่วนเกมในสภา ก็แอบจับมือกันบางเรื่อง เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองร่วมกัน