วันนี้ (18 ส.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. ตอบข้อซักถามถึงกรณีรัฐบาลจัดซื้อวัคซีนซิโนแวกเพิ่มอีก 12 ล้านโดส ว่า ทางกระทรวงสาธารณสุขรายงานต่อ ศบค. ซึ่งเห็นชอบและ ครม.อนุมัติแล้ว ศบค. ยึดจากความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ การศึกษาและวิจัย ทั้งในพื้นที่และในโรงเรียนแพทย์อย่างหลากหลาย โดยเป็นการรายงานการศึกษาการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ที่พบว่ามีบุคลากรที่ฉีดซิโนแวกสองเข็ม แล้วมีการติดเชื้อหลัง 14 วันไปแล้วพบว่าประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันการติดเชื้อถึง 72% และป้องกันการตายป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรง 98% รวมถึงการศึกษาเทียบกับแอสตร้าเซเนก้า ที่พบบุคลากรติดเชื้อหลังจากได้รับหนึ่งเข็มพบว่ามีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อมากถึง 88% แต่เมื่อดูจากการศึกษาแล้วหากมีการฉีดผสมร่วมกันระหว่างซิโนแวกและแอสตร้าเซเนก้า จะทำให้ประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อ ป้องกันการเสียชีวิต ป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรง มีความสามารถป้องกันโรคได้สูงมากขึ้น
ดังนั้นการยืนยันข้อมูลการศึกษา ต่างๆทำให้ ศบค. ให้ความเห็นชอบและที่จะดำเนินการให้จัดสรรซิโนแวกเพิ่มเติม และอีกหนึ่งเหตุผลคือเดิมจากที่วางแผนให้มีการระดมฉีดวัคซีนทั่วประเทศไทยได้ 100 ล้านโดส แผนเดิมที่วางไว้ จะมีการเติมวัคซีนเข้ามาจากสองส่วนคือ จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน และแอสตร้าเซเนก้า คาดว่าจะให้รวมๆ กัน ประมาณ 10 ล้านโดส แต่ทางกระทรวงสาธารณสุขรายงาน ก่อนหน้านี้ว่าจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ไม่สามารถจัดส่งวัคซีนให้ได้ในไตรมาส 4 ตามที่ตกลงกันไว้ดังนั้นทำให้แผนต้องปรับ และเช่นเดียวกันกับแอสตร้าเซเนก้า โดยกำลังผลิตการจัดสรรที่คาดการณ์ว่าจะได้ 10 ล้านโดส อาจจะลดลงมาอยู่ที่ 5-6 ล้านโดสต่อเดือน ทำให้มีความสมเหตุสมผลที่จำเป็นต้องจัดหาวัคซีนซิโนแวก เข้ามาเสริมในส่วนที่ขาดหายไป
และจากการศึกษาของโรงเรียนแพทย์ทั้ง จุฬาฯ รามาฯ และศิริราช ที่มีการระดมฉีดไขว้ ซิโนแวก-แอสตร้าเซเนก้า ห่างกัน 3 สัปดาห์ แทนที่จะรอให้ฉีดแอสตร้าเซเนก้า 2 เข็มห่างกัน 12 สัปดาห์ ก็พบว่ามีการช่วยให้ประสิทธิภาพของการป้องกันการติดเชื้อ ลดอัตราป่วยรุนแรง ลดอัตราเสียชีวิต ได้ รวมทั้งการระดมฉีดครอบคลุมประชากรจำนวนมากได้เป็นไปตามแผนของการกระจายวัคซีน