ผู้เชี่ยวชาญชี้ อยากรู้ว่าตาลีบันต้องการทำอะไร ต้องดูตอนเหตุการณ์สงบ

กลุ่มตาลีบัน เมื่อวันอังคาร พยายามโน้มน้าวให้ชาวอัฟกันที่วิตกกังวลเชื่อว่าพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว หนึ่งวันหลังจากความโกลาหลวุ่นวายที่สนามบินหลักของประเทศที่กรุงคาบูล เมื่อฝูงชนที่สิ้นหวัง พยายามหนีจากการปกครองของพวกเขา

หลังการจู่โจมแบบสายฟ้าแลบทั่วอัฟกานิสถาน ที่ทำให้หลายเมืองตกเป็นของกลุ่มกบฏโดยไม่มีการสู้รบ กลุ่มตาลีบันได้พยายามแสดงตนว่าเป็นกลุ่มสายกลางมากกว่าตอนที่พวกเขาบังคับใช้กฎเกณฑ์ที่สุดแสนโหดร้ายในช่วงปลายทศวรรษ 1990 แต่ชาวอัฟกันหลายคนก็ยังคงสงสัย

 ริชาร์ด ฟอนเทน  ซีอีโอของศูนย์เพื่อความมั่นคงใหม่แห่งอเมริกา หรือ CNAS องค์กรถังความคิดในกรุงวอชิงตัน บอกว่า การล่มสลายของคาบูลโดยฝีมือของกลุ่มตาลีบันในสัปดาห์นี้จะเป็น "ลักษณะนิยาม" สำหรับทั้งของรัฐบาลโจ ไบเดน , ประวัติศาสตร์อเมริกันสมัยใหม่ และประชาชนในอัฟกานิสถาน

ฟอนเทนเกี่ยวข้องกิจการด้านการต่างประเทศของสหรัฐมานาน ก่อนหน้านี้ เขาเป็นที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศของวุฒิสมาชิกจอห์น แมคเคน และเคยทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศและที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ผู้ดื้อรั้น ปฏิเสธเสียงตำหนิสำหรับฉากความวุ่นวายของชาวอัฟกันที่เกาะเครื่องบินทหารสหรัฐในกรุงคาบูล ด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะหลบหนีออกจากประเทศบ้านเกิดของพวกเขา หลังจากที่กลุ่มตาลีบันเอาชนะได้อย่างง่ายดายต่อกองทัพอัฟกานิสถาน ที่อเมริกาและพันธมิตรนาโต้ใช้เวลาถึงสองทศวรรษในการพยายามสร้างขึ้นมา

“ผมยืนหยัดอยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของผม” ในการถอนกองกำลังรบของสหรัฐฯ ออกมา ไบเดนกล่าวโทษชาวอัฟกันสำหรับการที่ตาลีบันเอาชนะได้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ

แต่ฟอนเทนบอกว่า "เกมการตำหนิวอชิงตันได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว" เมื่อทุกฝ่ายต่างกล่าวโทษซึ่งกันและกันสำหรับความพ่ายแพ้ในอัฟกานิสถาน เขาบอกว่า “ความล้มเหลวจะมีพ่อเป็นพัน ๆ ” 

ความพ่ายแพ้จะมีผลกระทบต่อพันธมิตรของสหรัฐเช่นกัน การรัฐบาลของทั้งไบเดนและโดนัลด์ ทรัมป์ ต่างก็เจรจากับกลุ่มตาลีบัน และเอากองกำลังระหว่างประเทศทั้งหมด เข้าไปอยู่ในข้อตกลงของพวกเขา จะทำให้สหรัฐมี "ช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก เมื่อพันธมิตรต้องยอมรับผลที่ตามมาจากความพ่ายแพ้ในอัฟกานิสถาน "

ชาวอัฟกันรุ่นก่อน ๆ จดจำทัศนะแบบอิสลามหัวรุนแรงของตาลีบันได้ ซึ่งรวมถึงข้อจำกัดที่รุนแรงต่อผู้หญิง รวมถึงการประหารชีวิตด้วยการขว้างหินและการตัดแขนขาในที่สาธารณะ ก่อนที่พวกเขาจะถูกขับไล่ออกจากอำนาจ เมื่อสหรัฐฯยกกำลังบุกเข้ามาภายหลังถูกผู้ก่อการร้ายโจมตีครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 หรือที่เรียกกันว่า เหตุการณ์ 9/11

ฟอนเทนเตือนว่า ช่วงแรก ๆ ของการปกครองของตาลีบันไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ถึงความตั้งใจอย่างแท้จริงในอนาคตของพวกเขา

“เมื่อพวกเขารวบรวมการควบคุมของพวกเขาได้ เมื่อพวกเขาเชื่อว่าพวกเขารักษาเสถียรภาพของสถานการณ์ทางการเมือง ได้ เมื่อชาวอเมริกันออกจากประเทศอย่างสมบูรณ์ เราจะเห็นว่ากลุ่มตาลีบันต้องการจะทำอะไรจริง ๆ เมื่อเทียบกับสิ่งที่พวกเขากำลังพูด ”

 

เมืองหลวงของคาบูลยังคงเงียบสงบอีกวัน ขณะที่กลุ่มตาลีบันลาดตระเวนไปตามท้องถนน และประชาชนจำนวนมากอยู่บ้าน ยังคงหวาดกลัวหลังจากการยึดครองที่ทำให้เรือนจำว่างเปล่าและอาวุธยุทโธปกรณ์ถูกปล้น ผู้หญิงหลายคนแสดงความกลัวว่าการทดลองเป็นเวลา 2 ทศวรรษของชาวตะวันตกเพื่อขยายสิทธิของพวกเธอ และการสร้างอัฟกานิสถานขึ้นมาใหม่ จะไม่รอดจากเงื้อมมือของกลุ่มตาลีบันที่ฟื้นคืนชีพ

ฟอนเทนยอมรับว่า " หัวใจสลายและตกใจในระดับหนึ่ง" เมื่อเห็นภาพแกนนำตาลีบันในทำเนียบประธานาธิบดี