สหรัฐเป็นห่วงเด็ก โควิดกลับมาระบาดใหญ่

ขณะที่อัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 เพิ่มขึ้น และจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ชาวอเมริกันจำนวนมากคิดว่าพวกเขาจะอยู่ในช่วงฤดูร้อนที่ปลอดโปร่งโล่งสบาย

แต่การฉีดวัคซีนที่ชะลอตัวลง และเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ทำให้มีการแพร่ระบาดได้สูง ได้ดึงสหรัฐฯ กลับเข้าสู่ภาวะวิกฤตของไวรัสโควิด-19 ที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งเป็นเหตุให้มีการบังคับใช้หน้ากากและมาตรการต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณของการชะลอตัว
ลง

จำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากชาวอเมริกันที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน คนเหล่านี้เป็นผู้ป่วยโควิด-19 ส่วนใหญ่ที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล และผู้เสียชีวิตทั่วประเทศ 

ผู้เชี่ยวชาญบางคนเตือนว่าหากอเมริกาไม่ฉีดวัคซีนให้กับประชากรในจำนวนมากพอที่จะช่วยยับยั้งการแพร่ระบาด การเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อ อาจขยับไปถึงระดับที่แย่ที่สุดของประเทศ

ดร.เจอโรม อดัมส์ อดีตแพทย์ใหญ่ของสหรัฐฯ บอกว่า "กระแสที่เรากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้มีทุกศักยภาพที่จะทำให้เราเจอกับกระแสที่แย่ที่สุดที่เราเคยเผชิญมา"
  
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขบอกว่ากุญแจสำคัญในการพลิกสถานการณ์อย่างรวดเร็วคือการได้รับการฉีดวัคซีนมากขึ้น

ดร. โรเชลล์ วาเลนสกี้ ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา บอกว่า “ถ้าเราร่วมมือกัน รวมกันเป็นประเทศ ฉีดวัคซีนให้ทุกคนที่สนใจและยังไม่ได้รับวัคซีน และสวมหน้ากากเพื่อป้องกันโรค เราจะควบคุมสิ่งนี้ได้ภายในเวลาไม่กี่
สัปดาห์”  แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น  อีกไม่นาน สหรัฐฯ อาจเห็นจำนวนผู้ป่วยรายวันในระดับเดียวกันกับที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคม คือหลายแสนคนต่อวัน

และนี่ก็คือ 5 ตัวเลขที่แสดงว่าสหรัฐในตอนนี้เจอปัญหาหนักเพียงใด

1. ผู้ป่วยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 9 เท่านับตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม

เมื่อวันศุกร์ ค่าเฉลี่ยรายวันในรอบ 7 วันของผู้ป่วยโควิด-19 ของอเมริกาอยู่ที่มากกว่า 107,100 คน ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยสูงสุดในรอบเกือบ 6 เดือน  ครั้งล่าสุดที่มีผู้ป่วยเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 100,000 รายคือวันที่ 11 กุมภาพันธ์ จำนวนผู้ป่วยรายวันเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 9 เท่าตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มาจากพื้นที่ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ เจฟ เซียนท์ส ผู้ประสานงานด้านการตอบสนองของทำเนียบขาวบอกว่า 1 ใน 3 ของเคสทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาในสัปดาห์ก่อนมาจากฟลอริดาและเท็กซัส 

ดร. ปีเตอร์ โฮเตซ คณบดีคณะเวชศาสตร์เขตร้อนแห่งชาติที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์เบย์เลอร์ บอกว่า “ส่วนที่น่าผิดหวังคือสิ่งนี้สามารถป้องกันได้ทั้งหมด ถ้าเราเร่งดำเนินการจริง ๆ ตลอดเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน และฉีดวัคซีนให้ประเทศอย่างครบถ้วน … เราก็ไม่ต้องมากังวลกับเรื่องนี้มากนัก” การติดเชื้อเพิ่มมากเป็นพิเศษในทางใต้ ซึ่งก็รวมถึงในฟลอริดาและหลุยเซียน่า ซึ่งวาเลนสกี้บอกว่ามี "การเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ" 

2. การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์

ชาวอเมริกันมากกว่า 66,000 คนเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยโรคโควิด-19 ทั่วประเทศเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ตัวเลขไม่ได้สูงขนาดนี้มาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ผู้พิพากษา ลิน่า ฮิดัลโก แห่งเขตแฮร์ริส รัฐเท็กซัสบอกว่า "วันนี้เราพบว่าตัวเองกำลัง
ย้อนรอยไปตามขอบหน้าผา เป็นไปได้มากที่เราจะมุ่งหน้าสู่หายนะด้านสาธารณสุขอีกครั้ง"  ในการแถลงข่าว นายกเทศมนตรีเมืองฮุสตัน ซิลเวสเตอร์ เทิร์นเนอร์ ประกาศว่าวิทยาเขตศูนย์การแพทย์เท็กซัสในฮูสตัน ต้องรับผู้ป่วยโควิด-19 มากกว่า 300
คนในแต่ละวัน ฟลอริดา เป็นผู้นำของประเทศในจำนวนผู้ใหญ่และเด็กที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากโควิด-19 คือมีผู้ใหญ่ 12,373 คน และเด็ก 143 คน ข้อมูลที่เผยแพร่โดยกระทรวงสาธารณสุขฟลอริดาเมื่อวันศุกร์ แสดงให้เห็นว่ารัฐมีรายงานผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่มากเป็นประวัติการณ์ 134,506 รายในสัปดาห์ที่ผ่านมา หรือโดยเฉลี่ย 19,215 รายต่อวัน สถิติสูงสุดครั้งก่อนอยู่ที่ 8 มกราคม โดยมีรายงานผู้ป่วยทั้งหมด 125,937 รายในช่วง 7 วัน โดยเฉลี่ย 17,991 รายในแต่ละวัน เจ้าหน้าที่รัฐหลุยเซียนารายงานเมื่อวันศุกร์ว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่รักษาในโรงพยาบาล 2,421 รายทั่วรัฐ ทำลายสถิติเดิมของรัฐที่ทำไว้ก่อนหน้านี้เพียงวันเดียว ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของรัฐประมาณ 91% ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐอาร์คันซอ รายงานจำนวนเตียงไอซียูที่เหลือต่ำเป็นประวัติการณ์คือ 25 เตียงทั่วทั้งรัฐ ในมิสซิสซิปปี้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขกล่าวเมื่อวันพุธว่า มีเตียงไอซียูเหลือเพียง 6 เตียงเท่านั้น

3.เด็กและวัยรุ่นที่ติดโควิด-19 เพิ่มขึ้น 84% ในหนึ่งสัปดาห์

มีรายงานเมื่อวันอังคารว่ามีผู้ป่วยเด็กรายใหม่เกือบ 72,000 คนในช่วงสัปดาห์ระหว่างวันที่ 22 ถึง 29 กรกฎาคม ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากสัปดาห์ก่อนซึ่งมีรายงานผู้ป่วยประมาณ 39,000 ราย และเกือบ 5 เท่าของเมื่อปลายเดือนมิถุนายน ขณะที่คำจำกัดความของเด็กนั้นแตกต่างกันไปตามแต่ละรัฐ แต่โดยทั่วไปแล้วจะเป็นผู้ที่มีอายุไม่เกิน 17 หรือ 18 ปี

โฮเตซบอกว่า “ ผมไม่คิดว่าไวรัสนี้จะมุ่งเป้าไปที่เด็กหรือวัยรุ่น ผมคิดว่าสิ่งที่คุณเห็นทั่วพื้นที่ทางใต้ตอนนี้คือไฟป่า และทุกอย่างก็ถูกกวาดไปหมด รวมทั้งวัยรุ่นด้วย รวมถึงเด็กเล็กด้วย วิธีที่คุณจะหยุดมันก็คือให้ผู้คนจำนวนมากได้รับวัคซีน ยิ่งฉีด
วัคซีนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแพร่เชื้อได้ช้า" การเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจเกิดขึ้นในขณะที่โรงเรียนทั่วประเทศเตรียมต้อนรับนักเรียนกลับเข้าชั้นเรียน ในขณะที่เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปียังไม่ได้รับวัคซีน บางรัฐกำหนดให้นักเรียนต้องสวมหน้ากาก ขณะที่บางรัฐก็
ห้ามเรื่องคำสั่งเรื่องการสวมหน้ากากในโรงเรียน บรรดาผู้นำทั่วประเทศต่างดำเนินการต่าง ๆ เพื่อช่วยปกป้องคนที่อายุน้อยที่สุดของอเมริกา

สเปนเซอร์ ค็อกซ์ ผู้ว่าการรัฐยูทาห์ บอกว่า รัฐจะมอบหน้ากาก KN-95 ให้กับเด็กๆ ส่วน อาซา ฮัทชินสัน ผู้ว่าการรัฐอาร์คันซอ เรียกประชุมสภานิติบัญญัติของรัฐสมัยวิสามัญเพื่อแก้กฎหมายที่ผ่านไปแล้วอย่างกฏหมาย "ยุติข้อกำหนดเรื่องการปกปิดใบหน้า" เขาบอกว่าเขาเสียใจที่ลงนามในร่างกฎหมาย และเสริมว่าโรงเรียนในท้องถิ่นควรมีความยืดหยุ่นในการเพิ่มการคุ้มครองสำหรับเด็กต่ำกว่า 12 ปีที่ไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ และเมื่อวันศุกร์ผู้พิพากษารัฐอาร์คันซอได้บล็อกการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวเป็นการชั่วคราว

4. สายพันธุ์เดลต้าคิดเป็น 93% ของผู้ป่วย Covid-19 ในสหรัฐอเมริกา

เบื้องหลังการระบาดมากขึ้นล่าสุดของประเทศคือสายพันธุ์เดลต้า ซึ่งขณะนี้มีสัดส่วนมากกว่า 93% ของไวรัสโคโรนาที่ระบาดอยู่ในสหรัฐอเมริกา ตัวเลขสูงมากกว่าในบางพื้นที่ของประเทศ เช่น ไอโอวา แคนซัส มิสซูรี และเนบราสก้า ซึ่งสายพันธุ์เดลต้ามีสัดส่วนมากกว่า 98 % ของไวรัสที่แพร่ระบาด ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของสายพันธุ์เดลต้าทั้งสหรัฐอเมริกา โดยในปลายเดือนพฤษภาคม ประมาณการว่าสายพันธุ์เดลต้าคิดเป็น 3% ของผู้ป่วย Covid-19 รายใหม่

เอกสารภายในของศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคหรือ CDC เมื่อเดือนที่แล้วบอกว่าสายพันธุ์นี้ดูเหมือนจะทำให้เกิดการเจ็บป่วยที่รุนแรงมากขึ้น และสามารถแพร่เชื้อได้พอ ๆ กับอีสุกอีใส วาเลนสกี้บอกว่า “นี่เป็นเรื่องร้ายแรง มันเป็นหนึ่งในไวรัสที่แพร่ระบาดได้มากที่สุดเท่าที่เรารู้จัก"เจ้าหน้าที่ทั่วประเทศกล่าวว่าตัวแปรเดลต้ากำลังเติมเชื้อเพลิงให้กรณีของพวกเขาเพิ่มขึ้น

ดร. โธมัส ดอบส์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของรัฐมิสซิสซิปปี้ บอกว่า รัฐได้เห็น "การเพิ่มขึ้นอย่างมหัศจรรย์" ของการติดเชื้อรายวันซึ่ง " ที่เกิดมาจากสายพันธุ์เดลต้าทั้งหมด ซึ่งกวาดไปทั่วมิสซิสซิปปี้เหมือนสึนามิ" เขาบอกว่าผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 97%
อยู่ในกลุ่มคนที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน "เราเห็นประชากรที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ที่ดันให้มีการระบาดเพิ่มสูงขึ้น เราเห็นการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลประมาณ 89% และการเสียชีวิต 85% ที่มาจากการไม่ได้รับการฉีดวัคซีน"

5. ชาวอเมริกันส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการแพร่กระจายของ Covid-19 มากหรือสูง

ชาวอเมริกันมากกว่า 97% อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการแพร่กระจายของ Covid-19 ในระดับที่"สำคัญ" หรือ "สูง" CDC บอกเมื่อปลายเดือนที่แล้วว่า แม้แต่ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบถ้วนซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่เหล่านั้นก็ควรสวมหน้ากากอนามัยในอาคาร เพื่อป้องกัน
การแพร่กระจายของสายพันธุ์เดลต้าต่อไป คำแนะนำของ CDC สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนยังเหมือนเดิมคือ พวกเขาควรสวมหน้ากากต่อไปจนกว่าจะได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน

คำว่า "สำคัญ" และ "สูง" เป็นส่วนหนึ่งของระบบของ CDC ที่ใช้วัดระดับของการแพร่กระจายของชุมชนในเคาน์ตี โดยใช้ตัวชี้วัดสองแบบคือ: ผู้ป่วย Covid-19 รายใหม่ต่อ 100,000 คนและอัตราการติดเชื้อ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าการรู้ว่ามีไวรัสในชุมชนมากแค่ไหน สามารถช่วยให้ผู้อยู่อาศัยเข้าใจถึงความเสี่ยงที่พวกเขาได้รับเมื่อต้องเลือกว่าจะสวมหน้ากากหรือไม่