วันที่ 3 สิงหาคม ช่วงเช้าที่ผ่านมา น.ส.เพชรสุวรรณ เอื้อสุนทรชัยกุล และนายบุญฤทธิ์ แสงสรจัทรกุล พร้อมผู้เสียหายรวม 6 ราย นำหลักฐานทางการเงินเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี หรือบก.ปอศ. หลังถูกมิจฉาชีพอ้างเป็นพนักงาน บริษัทน้ำมันชื่อดัง ชวนร่วมลงทุน กินดอกเบี้ย มูลค่าความเสียหายเกือบ 50 ล้านบาท
น.ส.เพชรสุวรรณ เปิดเผยว่า ย้อนไปเมื่อ 5 ปีที่แล้วได้รู้จักกับ น.ส.ณัฎฐ์นลิน ทิมกระจ่าง ผ่านทางเพื่อน ซึ่งตอนนั้นน.ส.ณัฎฐ์นลิน ได้นำที่ดิน 3ผืน ในราคา4แสนบาท มาจำนองตามราคาประเมินขณะนั้น โดยอ้างว่าแม่ต้องการใช้เงิน จากนั้นผู้ก่อเหตุก็จะแวะเวียนเข้ามาพูดคุย ตีสนิทกับแม่ ชวนไปทำบุญ มีของมาฝาก ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผู้ก่อเหตุจ่ายดอกเบี้ยที่ดินไม่เคยขาด จนเวลาผ่านไป1ปี ผู้ก่อเหตุเริ่มมาชักชวนตนให้ร่วมลงทุน อัตราดอกเบี้ย 5-7%
รายละเอียดไม่รู้ว่านำเงินไปลงทุนแบบไหน บอกแต่เพียงว่า นำเงินไปลงทุนให้กับพนักงานในบริษัท อีกทั้งยังพูดว่ารายละเอียดเรื่องลงทุน ไม่ต้องยุ่งรอรับดอกเบี้ยก็พอ ด้วยความไว้ใจ อีกทั้งพฤติกรรมการส่งดอกเบี้ยจำนองที่ดินไม่เคยขาด และยังมีสามีเป็นพนักงานบริษัทดังกล่าว ทำให้เกิดความไว้ใจมากยิ่งขึ้น จึงตัดสินใจร่วมลงทุน ในครั้งแรกหลักแสนบาท
หลังจากนั้นผู้ก่อเหตุจะเข้ามาขอเงินเรื่อยๆโดยอ้างว่านายต้องการยอดเท่านั้น เท่านี้ ซึ่งทุกครั้งที่มาขอยอดจะเตรียมสัญญาเงินกู้ พร้อมเช็คประกันการลงทุนมาให้ ทั้งนี้ด้วยดอกเบี้ยที่สูง และไม่เคยขาดส่ง ทำให้ทยอยนำเงินมาลงทุน และชักชวนเครือญาติและเพื่อนสนิทมารวมลงทุนด้วย จนกระทั่งยอดที่ลงทุนค่อนข้างสูงขึ้นเรื่อยๆ
น.ส.เพชรสุวรรณ กล่าวอีกว่า จากนั้นเริ่มสอบถามรายละเอียดการลงทุน เอกสารต่างๆ แต่ผู้ก่อเหตุบ่ายเบี่ยง และแนะนำให้ตนรู้จักกับนายปกร(สงวนนามสกุล) ซึ่งอ้างว่าเป็นฝ่าย HR ของบริษัทนี้ พร้อมนำบัตรพนักงานมายืนยันว่าเป็นพนักงานของบริษัทดังกล่าวจริง จึงเกิดความเชื่อใจ จนกระทั่งเมื่อช่วงเดือน ก.ค.64 ที่ผ่านมา ผู้ก่อเหตุไม่มีการส่งดอกเบี้ยตามกำหนด จึงโทรศัพท์ไปถามแต่ได้รับคำตอบว่า วิกฤติโควิด-19 ทำให้บริษัทดังกล่าว ลดเงินเดือนพนักงานลง50% และพนักงานไม่ยอมจ่ายดอกเบี้ย จึงไม่มีเงินมาจ่ายให้
หลังจากนั้นได้โทรศัพท์ไปหาสามีของผู้ก่อเหตุและนายปกร(สงวนนามสกุล) ทุกคนอ้างว่าไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้สามีของผู้ก่อเหตุก็เคยเดินทางมาขอเงินไปลงทุนด้วยตัวเอง ส่วนนายปกร อ้างว่าตัวเองก็ถูกหลอกให้ลงทุนสูญเงินกว่า 5 ล้านบาทด้วยเหมือนกัน ส่วนน.ส.ณัฎฐ์นลิน หลังจากเกิดเรื่องก็ไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย จึงต้องเดินทางเข้าแจ้งความดำเนินคดี
หลายคนอาจจะมองว่าทำไม่หลงเชื่อผู้ก่อเหตุ ต้องยอมรับว่าไม่ได้รู้เรื่องการลงทุน หรือเอกสารการลงทุนให้ดี หวังแต่ความไว้เนื้อเชื่อใจ เพราะตลอดระยะเวลาที่รู้จักกับผู้ก่อเหตุ มีลักษณะการพูดจาที่ดี ไม่ถือตัว สนิทกับคุณแม่ โดยตอนที่แม่เสียชีวิตก็มากราบศพและขอเป็นลูกบุญธรรมทำให้คนเป็นลูกอย่างเราซึ้งใจ
นอกจากนี้ผู้ก่อเหตุเคยพาไปบ้านอา ที่เมืองพัทยา โดยอ้างว่าครอบครัวทำอาชีพขายส่งเหล้า-เบียร์ และแตงโมรายใหญ่ในเมืองพัทยา ทำให้ไม่ติดใจในด้านการเงินของผู้ก่อเหตุเพราะดูมีฐานะจริงๆ หลังเกิดเหตุได้มีการตรวจสอบพบว่า 2สามี-ภรรยาเคยก่อเหตุหลอกเอาเงินจากเศรษฐีรายหนึ่ง เป็นเงินไปกว่า10ล้านบาท ก่อนทั้งคู่จะจะหลบหนี จนกระทั่งมาก่อเหตุกับครอบครัวตน