เป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้งสำหรับ "อู่ฮั่นโมเดล" ของจีน ที่ถูกพูดถึงในศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ว่าสามารถนำมาใช้ควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยได้หรือไม่ เรื่องนี้หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ให้เหตุผลว่า ในขณะนี้ประเทศไทยไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ได้แล้ว เพราะขณะนี้เชื้อได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศไทยไม่ใช่แค่ในกรุงเทพมหานครหรือจังหวัดสีแดงเข้มเท่านั้น
ซึ่งแตกต่างจากการแพร่ระบาดในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ที่มีการแพร่ระบาดแค่ในเมืองๆ เดียว ทางรัฐบาลจีนจึงมีการประกาศล็อกดาวน์ เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2563 "ปิดเมือง ปิดธุรกิจ" ให้ผู้คนอยู่แต่ในบ้าน ห้ามออกห้ามเข้า ใช้เวลาเพียง 76 วัน ก็สามารถลดตัวเลขผู้ติดเชื้อให้เป็นศูนย์ได้ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จที่ประเทศจีนทำให้ทั่วโลกได้เห็น
คุณหมอธีระวัฒน์บอกว่า ถ้ารัฐบาลไทยจะนำ "อู่ฮั่นโมเดล" ของจีนมาใช้ ต้องทำตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา และใช้เวลาการควบคุมไม่นานก็จะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อได้ แต่ในขณะนี้การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไปไกลเกินกว่าที่จะควบคุมได้ จึงไม่สามารถนำ "อู่ฮั่นโมเดล" มาใช้ในไทยได้ เพราะบริบทต่างกัน
"โมเดลของอู่ฮั่นตรงนี้นี่ครับ มันทำไม่ได้ เพราะว่ามันแพร่กระจายไปหมดแล้ว และประการที่สองก็คือว่า ในแต่ละจังหวัดเอง แต่ละพื้นที่เอง ถ้าเก็บแต่ละคนไว้ที่บ้านนั้น โดยที่ไม่ทราบว่าใครติดไม่ติด ตรงนั้นเองก็อาจจะเป็นการแพร่เชื้อในบ้านตัวเอง"
นายแพทย์ธีระวัฒน์ ยังบอกอีกว่า ในเมื่อการแพร่กระจายของเชื้อไม่สามารถควบคุมได้ในขณะนี้ สิ่งเดียวที่รัฐบาลต้องรีบเดินหน้าต่อไป คือการแยกผู้ติดเชื้อออกมาจากครอบครัว จากนั้นก็เริ่มคัดกรองและเร่งฉีดวัคซีน ประกอบกับประชาชนคนไทยทุกคนต้องมีวินัย เชื่อว่าจะสามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อลงได้
สอดคล้องกับข้อมูลของอาจารย์ปิติ ศรีแสงนาม ที่มองถึง "อู่ฮั่นโมเดล" และ "กว่างโจวโมเดล" ไม่สามารถนำมาใช้ควบคุมการแพร่ระบาดในไทยได้ เพราะบริบทต่างกันในทุกมิติ และโมเดลแต่ละประเทศรูปแบบก็แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับบริบททางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม จะหยิบยกโมเดลใดโมเดลหนึ่งมาใช้ไม่ได้ แต่ไทยควรเรียนรู้แต่ละโมเดลและนำมาประยุกต์ใช้ อย่างเช่น ประเทศอังกฤษและสิงค์โป เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับโควิดได้ แต่ประชาชนต้องฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุด ขณะที่อู่ฮั่นและกว่างโจว การฉีดวัคซีนยังไม่มากนัก จึงต้องมีการปิดเมือง
"ไม่มีทางเลยน่ะครับ ที่จะหยิบยกโมเดลของประเทศใดประเทศหนึ่งมาใช้ในประเทศไทยได้ เพราะว่าแต่ละประเทศมันมีความแตกต่างกันในบริบทของสังคม การเมือง เศรษฐกิจ .. เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราควรทำคือ เราต้องเรียนรู้ครับ แล้วพยายามเอาสิ่งที่คล้ายของเรากับเค้ามาประยุกต์ใช้ครับ"
สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลจะต้องทบทวนและเร่งดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจัง คือวิธีการสื่อสารที่ชัดเจนออกมาทางเดียว และไม่คลุมเครือต่อการแจ้งข้อมูลข่าวสารการแพร่ระบาดเชื้อโควิด รวมทั้งความชัดเจนเรื่องวัคซีน ประชาชนไม่สามารถทนล็อกดาวน์ได้ ถ้าหากรัฐบาลไม่มีความแน่นอนหรือถ้าล็อกดาวน์แล้วไม่สามารถควบคุมโรคได้
"ภาวะผู้นำจะไม่เกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีภาวะผู้ตาม เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไรให้ทุกคนอยากทำตามที่ผู้นำบอก ผู้นำคิดแผน มันก็ต้องแก้ปัญหาวิกฤตศรัทธาของผู้นำให้ได้ก่อน"
อาจารย์ปิติ ยังบอกถึงภาคธุรกิจ ภาคเศรษฐกิจ ที่ไม่กลัวว่ารัฐบาลจะใช้มาตรการใดในการควบคุมการแพร่เชื้อ ต่อให้เป็นมาตรการที่รุนแรง หรือที่เรียกว่า "ยาแรง" แต่สำคัญอยู่ที่ว่ารัฐบาลต้องเดินหน้าแก้ไขอย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นการลงทุนจากต่างประเทศก็จะเกิดปัญหาอย่างแน่นอน
"นักธุรกิจเค้าไม่กลัวน่ะครับ ว่าคุณจะใช้มาตรการอะไร ต่อให้มันเป็นมาตรการที่รุนแรงก็ตาม แต่ถ้ามันไม่มีการตัดสินใจ แล้วมาตรการต่าง ๆ ก็อิเหละเขะขะ คาดการณ์ไม่ได้ ไม่มีความแน่นอน เลือกปฏิบัติ อย่างนี้ครับ ผมคิดว่าเป็นโทษกับภาคเศรษฐกิจ ภาคธุรกิจมากกว่า"
สุดท้ายแล้ว "อู่ฮั่นโมเดล" สำหรับประเทศไทยแล้วอาจจะไม่ใช่คำตอบทั้งหมด เพราะบริบทสังคมไทยกับสังคมจีนนั้นต่างกัน แม้แต่เชื้อไวรัสก็ต่างสายพันธุ์ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือความชัดเจนของทางรัฐบาล ที่ต้องดำเนินการทุกอย่างโปร่งใสและบริสุทธิ์ใจ เพื่อลบข้อครหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น พร้อมเดินหน้าแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เชื่อว่าจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดและทำให้สถานการณ์ดีขึ้น โดยไม่ต้องมีผู้ใดที่เสียชีวิตคาบ้านอย่างที่เคยเกิดขึ้นอยู่ในทุกวันนี้