ย้อนไปเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2563 หลังเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ของจีนกลายเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งทำให้มีผู้ป่วยโรคโควิด-19 เสียชีวิตไปถึง 2,500 คน และมีผู้ติดเชื้อทั่วประเทศอีกราว 81,000 คน ทางการจีน จึงออกมาตรการเด็ดขาด โดยมีคำสั่งปิดเมืองอู่ฮั่น อย่างกะทันหัน และตัดขาดจากโลกภายนอก พร้อมสั่งให้ประชาชน 11 ล้านคน อยู่แต่ภายในบ้าน และห้ามการเดินทางเข้า-ออกจากเมืองเด็ดขาด เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโรคโควิด-19 ให้ได้โดยเร็วที่สุด
มาตรการสำคัญ คือ การบังคับให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย และล้างมือบ่อย ๆ รวมทั้งหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่มีผู้คนหนาแน่น พร้อมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้ละเมิดคำสั่งของทางการอย่างจริงจังด้วย
ว่ากันว่า จีนใช้การล็อกดาวน์ขั้นสูงสุด คือ “คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า” โดยเด็ดขาด ปิดการเดินทางทั้งหมด รถสาธารณะไม่มีวิ่ง ห้ามบิน ห้ามใช้รถไฟ ปิดทุกช่องทาง และทุกคนกักตัวในที่พัก และสร้างโรงพยาบาลสนามได้อย่างรวดเร็วน่าทึ่ง และรองรับผู้ป่วยจำนวนมากได้อย่างเพียงพอด้วยการจัดการอย่างเป็นระบบ
ซึ่งหลังทางการจีนใช้มาตรการที่เข้มงวดในเมืองอู่ฮั่น มาเป็นเวลายาวนานถึง 76 วัน จนยอดผู้ติดเชื้อ และเสียชีวิตเป็นศูนย์ จึงได้ประกาศยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ดังกล่าว กระทั่งเมื่อวันที่ 24 เม.ย.2563 มีการประกาศเป็นทางการว่า ผู้ป่วยโรคโควิด19 คนสุดท้ายที่มีอาการรุนแรงในอู่ฮั่น ได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว ทำให้จำนวนผู้ป่วยของอู่ฮั่นลดลงเหลือศูนย์ราย
พร้อมกันนั้น ยังได้นำวิธีควบคุมโรคอย่างเข้มงวดและเด็ดขาดแบบเมืองอู่ฮั่น ไปใช้กับเมืองอื่นๆ อย่างกรุงปักกิ่ง และนครเซี่ยงไฮ้ ด้วย
และก็สามารถทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงต่อเนื่องจนแทบเป็นศูนย์ มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปี 2563 และยังไม่มีสัญญาณของการกลับมาแพร่ระบาดระลอกที่ 2 อีกเลย
โดยปัจจุบัน จีน มีจำนวนผู้ติดเชื้อไม่ถึง 1 แสนคน และมีจำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 4,636 คน เท่านั้น
ทว่าการจะนำรูปแบบ "อู่ฮั่นโมลเดล" ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นยาแรงในการสกัดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด19 อาจจะไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของประเทศไทยทั้งหมด เพราะแต่ละประเทศย่อมมีบริบททางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองที่แตกต่างกัน ก่อนหน้านี้ เคยมีภาคธุรกิจเคยเสนอให้ใช้ยาแรงแบบเจ็บแต่จบ แต่ครั้งนั้นไม่ได้รับการตอบรับจากภาครัฐเท่าที่ควร จนนำมาซึ่งการระบาดระลอก 2 ระลอก 3
ปัญหาวัคซีนยังคงเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่รัฐบาลไทยต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน นอกจากจะเร่งจัดหาวัคซีนเพิ่มให้เพียงพอทันกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคแล้ว ยังต้องมองไปถึงประสิทธิภาพของวัคซีนที่จะป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ในอนาคตได้ด้วย
ซึ่งหากเปรียบเทียบกับจีนแล้วแทบจะไม่มีปัญหาเรื่องของวัคซีนเลย เพราะฉะนั้น การใช้ยาแรงควรต้องมองไปถึงจำนวนวัคซีนที่จะเข้ามาด้วย หากไม่มาตามนัดอีก มาตรการแบบ "อู่ฮั่นโมเดล" ที่ว่าเป็นยาแรงอาจจะไม่พอที่จะหยุดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดระลอกนี้ก็เป็นได้
ข่าว โต๊ะสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เนชั่นทีวี
ภาพ กรุงเทพธุรกิจ