
1.มีสัญชาติไทย 2.มีอายุไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ในวันที่ได้รับแต่งตั้ง 3.สามารถทำงานให้กับสถาบันได้เต็มเวลา4.เป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์เหมาะสมกับกิจการของสถาบันตามที่กำหนดไว้ในวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของสถาบัน 5.ไม่เป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่เคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริตคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
6.ไม่เคยได้รับโทษจำคุก โดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ 7.ไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น กรรมการหรือผู้ดำรงตำแหน่งซึ่งรับผิดชอบการบริหารพรรคการเมืองที่ปรึกษาพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่พรรคการเมือง
8.ไม่เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐรัฐวิสาหกิจ เพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ รวมถึงอยู่ระหว่างถูกพักงานพักราชการ หรือสั่งให้หยุดงานเป็นการชั่วคราว ในลักษณะเดียวกันกับการพักงานหรือพักราชการ 9.ไม่เป็นผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรมหาชนอื่น 10.ไม่เป็นข้าราชการซึ่งมีเงินตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำพนักงานหรือลูกจ้างของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองท้องถิ่นหรือหน่วยงานของรัฐ หรือผู้ปฏิบัติงานองค์กรมหาชนอื่น และ 11.ไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในกิจการที่กระทำกับสถาบันหรือในกิจการที่เป็นการแข่งขันกับกิจการของสถาบัน ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
ทั้งนี้ กรณีตาม (9) (10)ผู้เข้ารับการสรรหาเป็นผู้อำนวยการ จะต้องลาออกจากตำแหน่งก่อนได้รับเลือกเป็นผู้อำนวยการนอกจากนี้ ให้ผู้อำนวยการ ที่ปรึกษา หรือผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งมีสัญญาจ้างกับสถาบันเจ้าหน้าที่หรือลูกจ้าง ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่ประกาศสรรหาผู้อำนวยการมีสิทธิเข้ารับสมัครสรรหาเป็นผู้อำนวยการได้ โดยไม่ต้องลาออกจากสถาบันหรือบอกเลิกสัญญากับสถาบัน แล้วแต่กรณี โดยกรณีที่ได้การสรรหาเป็นผู้อำนวยการจะต้องลาออกในวันที่ได้รับแต่งตั้ง
ขณะเดียวกัน ต้องมีวุฒิการศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาตรีหรือเทียบขึ้นไปสาขาสังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ นิติศาสตร์ จากสถาบันการศึกษาที่ ก.พ.รับรอง อีกทั้ง มีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์การบริหารจัดการ ดังนี้กรณีที่เป็นหรือเคยเป็นผู้บริหารจากหน่วยงานรัฐ ต้องเคยหรือดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าตำแหน่งประเภทอำนวยการระดับสูง
นอกจากนี้ กรณีเคยที่เป็นหรือเคยเป็นผู้บริหารจากสถานศึกษา ต้องดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าคณบดีหรือเทียบเท่าส่วนผู้ที่เป็นหรือเคยเป็นผู้บริหารจากหน่วยงานเอกชนที่มีการติดต่อทั้งในประเทศและต่างประเทศต้องดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้บริหารขององค์กร ที่มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาทต่อปีรวมทั้ง ต้องมีความรู้ ความสามารถ และมีผลงานสำคัญเชิงประจักษ์ ในด้านงานยุติธรรมและที่เกี่ยวข้องกับประเทศ ต่อองค์การสหประชาชาติหรือหน่วยงานระหว่างประเทศด้านงานยุติธรรม
อย่างไรก็ตาม มีความรู้ ความสามารถ และมีผลสำคัญที่ถึงความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เป็นที่ประจักษ์ด้านงานยุติธรรมและที่เกี่ยวข้องภายในประเทศโดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับการอนุวัติข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิง และมาตรการที่ไม่ใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิงหรือข้อกำหนดกรุงเทพ และการส่งเสริมและการพัฒนาองค์ความรู้ด้านหลักนิติธรรม
นอกจากนี้ต้องมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีและสามารถประสานงานติดต่อกับองค์กรต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการประสานงานกับหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม และเป็นประโยชน์ต่อกิจการของสถาบัน มีภาวะความเป็นผู้นำ มีวิสัยทัศน์ สามารถคิดและมองภาพรวมได้อย่างกว้างขวาง และต้องมีทักษะภาษาอังกฤษเพื่อติดต่อประสานงานด้านต่างประเทศ
รวมทั้งมีความสามารถด้านบริหารองค์กร การปกครอง และการบริหารธุรกิจ กล้าตัดสินใจ รวมถึงมีความสามารถพัฒนางานด้านยุติธรรม ตลอดจนสามารถนำนโยบายที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการ รมว.ยุติธรรม และรัฐบาล ไปปฏิบัติจนเกิดผลสำเร็จ
สำหรับผู้ที่ต้องการเข้ารับสมัคร สามารถขอรับใบสมัครได้ด้วยตนเอง ตั้งแต่วันจันทร์-ศุกร์ เวลา08.30-16.30น. ณ สำนักอำนวยการพิเศษ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย หรือดาวน์โหลดใบสมัครได้ทางเว็บไซด์www.tijthailand.orgหรือส่งใบสมัครผ่านทางไปรษณีย์ หรือสอบถามเพิ่มได้ที่หมายเลข02-118-9400ต่อ111และ203
สำหรับเอกสารใช้ประกอบการรับสมัคร1.รูปถ่ายหน้าตรง ไม่สวมหมวกและแว่นตา ขนาด1.5 X 2นิ้ว ถ่ายไม่เกิน6เดือน จำนวน2รูป2.สำเนาประกาศนียบัตร หรือปริญญาบัตร หรือสำเนาหนังสือรับรองฉบับสภามหาวิทยาลัย หรือสำเนาแสดงผลการศึกษา ที่แสดงว่าเป็นผู้มีวุฒิการศึกษาตรงตามประกาศรับสมัคร
3.สำเนาบัตรประชาชน หรือบัตรข้าราชการ สำเนาทะเบียนบ้าน4.เอกสารแสดงวิสัยทัศน์ในการบริหารสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน)5.หลักฐานแสดงถึงความสามารถ ประสบการณ์ในการบริหารงาน พร้อมผลงานเชิงประจักษ์ ความสำเร็จที่ได้รับในอดีตที่เป็นประโยชน์ต่อการบริหารงาน เช่น ประกาศเกียรติคุณ ผลงานทางวิชาการ โครงการสำคัญในความรับผิดชอบ
6.ใบรับรองแพทย์จากสถานพยาบาลของรัฐหรือเอกชน ว่าแข็งแรงไม่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่ และระยะเวลาของใบรับรองแพทย์ต้องไม่เกิน6เดือน นับจากวันตรวจสุขภาพ7.หนังสือยินยอมให้ตรวจประวัติบุคคล8.เอกสารอื่นเช่น ใบเปลี่ยนชื่อ ฯลฯ (ถ้ามี)
ส่วนเงื่อนไขการสมัคร โดยผู้สมัครจะต้องรับผิดชอบในการตรวจสอบและรับรองตนเอง ว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติตรงตามประกาศคณะอนุกรรมการสรรหาผู้อำนวยการ และต้องกรอกรายละเอียดต่างๆ ให้ถูกต้องครบถ้วนตามความเป็นจริง และลงลายมือชื่อรับรองความถูกต้อง ในกรณีที่ผิดพลาดจากผู้สมัครไม่ว่าเหตุใดๆ หรือพบว่าเอกสารที่นำมายื่นไม่ตรงหรือไม่เป็นไปตามประกาศรับสมัคร ให้ถือว่าการสมัครครั้งนั้นเป็นโมฆะ
สำหรับเกณฑ์การคัดเลือก คณะอนุกรรมการสรรหาฯ จะประกาศรายชื่อผู้ผ่านการพิจารณาเข้าสัมภาษณ์และแสดงวิสัยทัศน์ ในวันที่22ม.ค.2564ณ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย และทางทางเว็บไซด์www.tijthailand.orgโดยจะเชิญผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนและเหมาะสมเข้ารับการสัมภาษณ์และแสดงวิสัยทัศน์ในการบริหารสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย ในวันที่28ม.ค.2564หากมีเหตุจำเป็นอาจเปลี่ยนแปลงวันดังกล่าวได้ และผู้ไม่เข้ารับการสัมภาษณ์ตามวัน เวลา สถานที่ ถือว่าสละสิทธิ์
อนึ่งTIJถือเป็นองค์การมหาชน ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล แต่ปฏิบัติงานขึ้นตรงกับคณะกรรมการบริหารสถาบันฯ ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญในหลายแขนง และผู้บริหารองค์กรต่างๆ ในกระบวนการยุติธรรม ทำหน้าที่กำกับดูแล และกำหนดนโยบาย กรอบยุทธศาสตร์ แผนงานของสถาบันฯ โดยมีสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงเป็นประธานคณะที่ปรึกษาพิเศษ
โดยTIJก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่13มิ.ย.2554ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความเป็นเลิศด้านการวิจัย และการพัฒนากระบวนการยุติธรรม ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประเทศไทยในกรอบความร่วมมือกับสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา เชื่อมโยงแนวคิดตามหลักสากลสู่การปฏิบัติในระดับประเทศ และในภูมิภาคอาเซียน
สำหรับภารกิจสำคัญของTIJประการหนึ่ง คือการส่งเสริมให้เกิดการอนุวัติ"ข้อกำหนดกรุงเทพ"หรือข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงและมาตรการที่ไม่ใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำความผิดหญิง (UN Bangkok Rules)รวมถึงส่งเสริมมาตรฐานสหประชาชาติอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะด้านเด็กและสตรีในกระบวนการยุติธรรม อีกทั้งยังทำหน้าที่ขับเคลื่อนประเด็นสำคัญต่างๆ ในเวทีระหว่างประเทศ เช่น หลักนิติธรรม การพัฒนา สิทธิมนุษยชน สันติภาพ และความมั่นคง
นอกจากนี้TIJยังได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติในฐานะหน่วยงานที่มีความเป็นเลิศด้านการวิจัย และมีศักยภาพด้านการป้องกันอาชญากรรม การพัฒนากระบวนการยุติธรรมทางอาญา และส่งเสริมหลักนิติธรรม โดยในวันที่24พ.ค.2559สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime UNODC)ได้รับรองสถานะให้TIJเป็นสถาบันเครือข่ายแผนงานสหประชาชาติ ด้านการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา (United Nations Programme Network Institutes PNIs)โดยเป็นสถาบันPNIลำดับที่18ของโลก และเป็นสถาบันแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของPNI
โดยผอ.คนปัจจุบัน คือ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ซึ่งจะครบวาระในเดือน ก.พ.และก่อนหน้านี้ ได้ทำโพลสำรวจความคิดเห็นออนไลน์ เกี่ยวกับคดีบอสรอดทุกข้อหา จนได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางและอีก1ผลงานของ ดร.กิตติพงษ์ คือ การผลักดันให้TJIเป็นหน่วยงานPNIsของยูเอ็น หมายถึง สถาบันเครือข่ายแผนงานสหประชาชาติด้านการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา โดยTIJเป็นเครือข่ายPNIลำดับที่18ของโลก และลำดับที่1ของอาเซียน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆ นี้ ในวาระครบรอบ10ปี "ข้อกำหนดกรุงเทพ"TIJเพิ่งจัดกิจกรรมเชิงวิชาการ และเร่งรณรงค์ให้ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคและของโลกในการผลักดันให้ทั่วโลกใช้ "ข้อกำหนดกรุงเทพ" ในเรือนจำหญิง เพื่อยกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังหญิง ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น คำนึงถึงเพศสภาวะ และความแตกต่างระหว่างผู้ต้องขังหญิงกับผู้ต้องขังชาย โดยเฉพาะผู้ต้องขังตั้งครรภ์ คลอดระหว่างถูกคุมขัง รวมถึงเด็กติดผู้ต้องขัง