ถัดมาในปี 2542 กำนันทองม้วนคำแจ่ม และนายสม หอมพรมมา 2 แกนนำคัดค้านเหมืองหินปูนบน "ภูผาฮวก"เนื้อที่อีก 50 ไร่ ได้ถูกลอบยิงเสียชีวิตอีกครั้งแต่การเสียชีวิตของแกนนำทั้งสองรายนี้ นอกจากจะสร้างแผลเป็นในใจให้กับชาวบ้านแล้วกลับทำให้ชาวบ้านรวมตัวลุกขึ้นมารวมตัวเพื่อคัดค้านโรงโม่หินพร้อมทั้งนำร่างของกำนันทองม้วน มาโบกปูนเก็บไว้ เพื่อเป็น "อนุสรณ์นักต่อสู้คัดค้านโรงโม่"และยังเป็นสิ่งเตือนใจให้ชาวบ้านตำบลดงมะไฟ ต่อสู้คัดค้านจนถึงทุกวันนี้ แม้ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาการเสียชีวิตของแกนนำจะยังไม่สามารถจับคนร้ายมาลงโทษได้
การรวมตัวคัดค้านของชาวบ้านตำบลดงมะไฟยังคงมีให้เห็นเป็นข่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง และในช่วงปี 2563 ถือเป็นช่วงสำคัญ เนื่องจากบริษัทที่ทำโรงโม่หิน จะหมดอายุใบอนุญาตประทานบัตรทำเหมืองแร่หินปูนและใบอนุญาตเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเก่ากลอยและป่านากลาง และบริษัทนี้ ได้พยายามต่ออายุใบอนุญาตทั้งสองใบและได้ประทานบัตรต่อไปอีก 10 ปี ทั้งยังไม่มีการทำประชาคมรับฟังความคิดเห็นของราษฎร6 หมู่บ้านในเขตพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองหิน
การต่อประทานบัตรครั้งนี้ ทำให้ชาวบ้านต้องออกมาเดินหน้าต่อสู้อีกครั้งและมีการขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลดงมะไฟเพื่อสอบสวนให้ออกจากราชการ
สุดท้าย กลุ่มชาวบ้านต้องหาทางออกให้กับตัวเอง ด้วยวิธีการปักหลักชุมนุมตามข้อเรียกร้อง3 ข้อ ที่ถนนทางเข้าเหมืองหินปูนและโรงโม่หิน เพื่อดำเนินการปิดและฟื้นฟูเหมืองหินปูนและโรงโม่หินจนนำมาสู่ข้อมูลที่ชาวบ้านได้ร้องเรียนกับหน่วยงานอย่างกรมสอบสวนคดีพิเศษเนื่องจากมีกระแสข่าวว่า ผู้มีอิทธิพลบางรายได้โทรศัพท์มาข่มขู่ว่า จะมีการจ้างมือปืนสั่งเก็บแกนนำ